การกวาดล้างทุจริตที่นับว่าดุเดือดเลือดพล่านแห่งหนึ่งของโลกคือเมืองจีน ในยุคประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ตั้งแต่แกขึ้นมาเป็นเลขาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนปี 2555
ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคถูกจับข้อหาทุจริตจำนวนมาก
ปี 57 มีคดีทุจริตที่ถูกสอบสวนกว่า 6 หมื่นคดี เจ้าหน้าที่รัฐอาวุโสระดับมณฑลหรือกรมถูกตรวจสอบไปนับร้อยๆ คน
“สี จิ้น ผิง” ใช้ทฤษฎี “จับเสือตัวใหญ่” หมายถึงแกมองว่าถ้าจัดการพวกระดับหัวทางการเมืองได้ บรรดาลิ่วล้อก็ไม่กล้าทำนอกลู่นอกทาง เข้าตำราถ้าหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก
ที่พีคสุดๆ คือการสอบสวนวินัยร้ายของ “โจว หย่งคัง” อดีตคณะกรรมการประจำกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ และยังเป็น เลขาธิการสำนักการเมืองและกฎหมายกลาง
ถามว่านายโจว ใหญ่แค่ไหน ก็ไม่เท่าไหร่แค่เป็นหนึ่งในกลุ่มนำสูงสุดของประเทศจีน ถ้าเมืองไทยยุคนี้ก็คือสมาชิกคสช.นั่นแหล่ะ เป็นผู้นำสูงลิ่ว ก่อนหน้ายุคสีจิ้นผิง ผู้นำกลุ่มนี้เป็นเหมือนเทวดา ห้ามผู้ใดแตะต้อง
โจว ถูกสอบสวนหนักมากโดยเฉพาะการใช้อำนาจหน้าที่แสวงประโยชน์ของรัฐให้กับญาติพี่น้อง ลูกเมีย สมุนบริวารว่านเครือ ถูกแจ้งความจับ และไล่ออกจากพรรค จุดจบน่าอเนจอนาถ
“สี จิ้น ผิง” กวาดล้างคอร์รัปชั่น เริ่มจากตัวเองและพวกพ้อง เรียกว่า “แบบอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน”
เขาสั่งห้ามปิดถนนเวลาไปตรวจราชการ เข้าแถวร่วมกับชาวบ้านยืนซื้อเฟรนส์ฟรายส์ ห้ามข้าราชการใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย
ห้ามใช้งบหลวงซื้อของขวัญในเทศกาลต่างๆ กระทั่งส่งบัตรอวยพรก็ไม่ได้ แถมสั่งสอบข้าราชการที่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก โดยแกสงสัยว่าเป็นข้าราชการเงินเดือนไม่เยอะ แล้วส่งลูกไปเรียนยุโรปได้ยังไง
ยุทธการ “จับเสือตัวใหญ่” ของสีจิ้นผิง ทำให้ข้าราชการทุกระดับขนหัวลุกเกรียว เพราะเห็นกะตาว่าผู้บังคับบัญชาตัวเองแท้ๆยังถูกจับติดคุก แล้วจะมีใจจะกล้าโกงมั้ย
สัญญาณแรงชัดแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้าราชการตัวเล็กๆนับล้านๆคนในประเทศจีน จะเข้าแถวจนเป็นระเบียบขนาดไหน
สำหรับเมืองไทยนายกรัฐมนตรี ก็มีเจตจำนงต่อต้านกวาดล้างคอร์รัปชั่นอย่างแข็งขัน ไปส่องไฟกลางสนามหลวงและประกาศว่าการคอร์รัปชั่นคือมะเร็งร้ายทำลายบ้านเมือง
และก่อนหน้านี้ก็มีคำสั่งที่ดูดี คือข้าราชการที่จะไปดูงาน ไปประชุมเมืองนอกให้นั่งเครื่องบินชั้นประหยัด
แต่พอรัฐมนตรีในรัฐบาลของท่านพร้อมคณะ 38 คน เหมาเครื่องบินไปประชุม 20 ล้าน ค่าอาหารระหว่างบิน 6 แสนบาท สังคมสงสัยว่ามันคุ้มค่ากับภาษีประชาชนหรือไม่ แถมหนีบเอาภาคเอกชนร่วมคณะด้วย มันจำเป็นหรือไม่
ท่านนายกฯ กลับออกมาการันตีเสร็จสรรพว่าเป็นเรื่องปกติ ทุกคนทำงานเพื่อชาติ
แถมข้อมูลต่างๆก็ถูกปกปิด สมาชิกร่วมคณะมีใครบ้างก็ยังไม่เปิดเผย อ้างว่าเพื่อความมั่นคงของชาติ อ้าว แล้วท่านบอกว่าคนกลุ่มนี้ไปทำงานเพื่อชาติ จะไปกลัวทำไมเปิดออกมาสิ น่าภูมิใจจะตาย
ไม่ได้อยากเห็นท่านต้องกล้ำกลืนเชือดพี่ เชือดน้องตัวเองให้ดูหรอก แต่ถ้าประกาศว่าจะปราบทุจริตแล้วก็ต้องทำเด็ดขาดเหมือนเมืองจีนที่จัดการพรรคพวกรอบตัวก่อน
และทำให้เสมอภาค ส่องไฟไปทั่วๆ ให้สังคมสว่างไสวด้วยข้อมูล ความจริงที่โปร่งใส
ไม่ใช่ส่องไฟแต่ฝ่ายตรงข้าม ส่วนพวกตัวเองจะมืดยังไงก็ช่างมัน!!!