“ผ่าตัดบายพาสหัวใจ” แก้ปัญหาหลอดเลือดตีบตัน ใครบ้างควรทำ?
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ส่วนใหญ่มีการตีบหรือตันหลายเส้นของหลอดเลือดแดงของหัวใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหัวใจจึงแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัด เพราะไม่เพียงช่วยลดอัตราการเสียชีวิต รู้จักการทำบายพาสหัวใจ (CABG; Coronary Artery Bypass Grafting) และใครบ้างควรเข้ารับการผ่าตัด
รู้หรือไม่ ? โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบตันสูงเป็นอันดับ 2 เป็นรองจากโรคมะเร็งเท่านั้น และสามารถเกิดได้รับคนทุกเพศทุกวัย โดยวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับหนึ่งในวิธีการรักษานั้นคือการทำบายพาสหัวใจ (CABG; Coronary Artery Bypass Grafting) หรือการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจเพื่อสร้างช่องทางเบี่ยงให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้เพียงพอจึงแก้ปัญหาอาการหัวใจขาดเลือด และช่วยทำให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น
7 สัญญาณเตือนเสี่ยง “โรคหัวใจ” อันตรายใกล้ตัวเฉียบพลันถึงชีวิต
ยารักษา “โรคหัวใจ” ไม่มีอาการแล้วหยุดยาเองได้ไหม?
ชนิดของหลอดเลือดเสริม
หลอดเลือดเสริมเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกับการรักษาระยะยาว แพทย์จึงต้องเลือกนำหลอดเลือดเสริมจากอวัยวะต่าง ๆ มาใช้อย่างเหมาะสม โดยหลอดเลือดแดงเสริมอายุการใช้งานจะนานกว่าหลอดเลือดดำเสริม ได้แก่
หลอดเลือดแดงเสริม (Arterial Graft) ได้แก่
- หลอดเลือดแดงหลังกระดูกหน้าอก ถูกนำมาใช้มากที่สุด เพราะอายุการใช้งานยาวนานที่สุด
- หลอดเลือดแดงแขนท่อนระหว่างข้อมือและข้อศอกหรือหลอดเลือดแดงเรเดียล ในแขนแต่ละข้างจะมี 2 เส้นที่สามารถนำมาใช้ได้และนิยมนำมาใช้มากที่สุด
หลอดเลือดดำเสริม (Vein Graft) ได้แก่
- หลอดเลือดดำที่ขา ตั้งแต่ข้อเท้าด้านในจนถึงโคนขาด้านใน
ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด CABG
- ผู้ที่มีอาการจากการตีบตันของหลอดเลือดโคโรนารีที่ไม่สามารถรักษาทางอื่นได้
- ผู้ที่มีการตีบตันของหลอดเลือดโคโรนารีเส้นซ้ายใหญ่รุนแรง
- ผู้ที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจรุนแรงหลายเส้น
- ผู้ป่วยบางคนที่จำเป็นต้องป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- อื่น ๆ ตามการวินิจฉัยของศัลยแพทย์หัวใจ
ขั้นตอนการผ่าตัดบายพาสหัวใจ
- แพทย์นำหลอดเลือดที่มีคุณภาพดีจากส่วนอื่นในร่างกาย อาจเป็นหลอดเลือดดำจากขา หรือหลอดเลือดแดงจากอกหรือปลายแขน มาต่อทำทางเบี่ยงข้ามหลอดเลือดแดงส่วนที่ตีบหรืออุดตัน
- แพทย์จะทำการต่อปลายหลอดเลือดข้างหนึ่งเข้ากับหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงหัวใจ ส่วนปลายหลอดเลือดอีกข้างหนึ่งจะต่อเข้ากับหลอดเลือดแดงใต้บริเวณที่ตีบหรืออุดตัน
4 สัญญาณ กับ 5 พฤติกรรม เสี่ยง “หลอดเลือดหัวใจตีบ” ควรพบแพทย์
การดูแลหลังผ่าตัดบายพาสหัวใจ
แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนพักรักษาตัวในห้อง ICU อย่างน้อย 1-2 วัน จากนั้นจึงจะย้ายเข้าไปพักฟื้นต่อในห้องพักผู้ป่วยต่ออย่างน้อย 7 วัน เพื่อดูอาการ และติดตามผล โดยในช่วงพักฟื้นที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยอาจต้องมีการต่อท่อหรือสายต่างๆ ตามร่างกายอยู่ระยะหนึ่งเมื่อผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว จะต้องระมัดระวังในเรื่องการดูแลบาดแผล พักผ่อนให้เพียงพอ และควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนักๆ เพราะอาจทำให้แผลหายช้า หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
หากอาการดังต่อไปนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- หายใจลำบาก
- มีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนต่อเนื่อง
- เจ็บที่บริเวณแผลผ่าตัดมากขึ้น
- มีอาการบวม หรือเลือดออกบริเวณแผลผ่าตัด
- ชีพจรเต้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ
- มีอาการบวม หรือชาตามแขนและขา
แม้การผ่าตัดบายพาสเพื่อรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันจะช่วยลดอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย และผลการรักษาอยู่ได้นานเป็นสิบปี แต่ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก หากขาดการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องและมีวินัย เพราะฉะนั้นควรใส่ใจด้านสุขภาพให้มากรู้จักเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลิกสูบบุหรี่ ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อควบคุมน้ำหนักให้เป็นไปตามเกณฑ์ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้หัวใจแข็งแรงไปอีกนาน
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท และ โรงพยาบาลกรุงเทพ
ภาพจาก : Shutterstock