“ข้าวเหนียวมะม่วง” หวานฉ่ำรับหน้าร้อน กินแต่น้อย อร่อยได้สุขภาพดีด้วย
เมนูผลไม้สุดโปรดที่หากินได้ง่ายในช่วงฤดูร้อน อย่าง “ข้าวเหนียวมะม่วง” ถือว่านั่งแท่น ที่หนึ่งในดวงใจของใครหลายคน เพราะรสชาติ หวาน มัน แซมเปรี้ยวนิดๆ ของมะม่วงสุก และแน่นอนกินมากไปอาจป่วยได้ แล้วกินแบบไหนให้อร่อยได้ แข็งแรงด้วย! แล้วใครควรเลี่ยงจะดีกว่า!
ช่วงหน้าร้อน ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นเมนูยอดนิยมที่หากินได้ง่าย ทั้ง หอม หวาน มัน จากข้าวเหนียวมูนรอดด้วยน้ำกระทิ แสนอร่อยกับเนื้อมะม่วงสุกแสนสดชื่น แต่แน่นอน ควรที่จะกินแบบพอดี ไม่เยอะไปไม่น้อยไป เพราะข้าวเหนียวมะม่วง 1 จาน ให้พลังงานสูงถึง 450 กิโลแคลอรี่ (มากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณ) หากกินแบบไม่พอดี อาจเกิดร้อนใน เจ็บคอ และก่อโรคอ้วนได้!
ประโยชน์ของข้าวเหนียวมะม่วง
“มะยงชิด” ผลไม้หน้าร้อน เปรี้ยวหวานชื่นใจอุดมเบต้าแคโรทีน-วิตามินสูง
“มะละกอ” ผลไม้สนับสนุนการขับถ่าย ช่วยลดน้ำหนักป้องกันโรคหัวใจ
- มะม่วงสุก ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ได้แก่ วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ใยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย วิตามินซี ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ
- กะทิ ประกอบด้วยกรดลอริค ยังมีคุณสมบัติช่วยต้านไวรัส ป้องกันแบคทีเรีย ป้องกันจุลินทรีย์ และต้านเชื้อรา กะทิสามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งกะทิในข้าวเหนียวมูนช่วยทำให้วิตามินเอและอีจากมะม่วงดูดซึมดีขึ้นด้วย
- ถั่วทอง โปรตีนอยู่สูง เป็นแหล่งรวมกรดอะมิโนหลากหลายที่ร่างกายนำไปใช้ได้โดยตรง
ไม่ควรกินข้าวเหนียวมะม่วงมากเกินไป เพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเกินและกระตุ้นอาการร้อนใน เจ็บคอ และก่อโรคอ้วนได้
แจกสูตรดีท็อกซ์ ด้วยผัก-ผลไม้ 3 อย่าง ลดอาการท้องผูกเรื้อรัง
กินข้าวเหนียวมะม่วงอย่างไรให้ดีต่อร่างกาย
- ผู้ที่มีสุขภาพดีไม่มีโรคประจำตัว สามารถกินข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารว่างได้ ประมาณ 150 – 200 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยแบ่งเป็นมื้อเล็ก ๆ ข้าวเหนียวมูล 50 กรัม หรือ 1 ทัพพี ให้พลังาน 140 กิโลแคลอรี และมะม่วงสุกครึ่งผล ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 200 กิโลแคลอรี ซึ่งจะใกล้เคียงกับพลังงานของอาหารว่างต่อวัน และควรงดของหวานอื่นและออกกำลังกายเพื่อช่วยเผาผลาญพลังงาน ขณะที่ผู้มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากข้าวเหนียวมะม่วงให้พลังงานสูง
- ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม เช่น มะม่วง ครึ่งลูก จะได้พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรี และข้าวเหนียวมูนให้กิน 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะให้พลังงาน 280 กิโลแคอรี เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 350 กิโลแคลอรี่
- ควรกินข้าวเหนียวมะม่วงช่วงเวลากลางวัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องใช้พลังงานทำกิจกรรมต่าง ๆ เลี่ยงกินตอนมื้อเย็น เนื่องจากมีกิจกรรมที่ต้องทำน้อย พลังงานที่ได้รับอาจเผาผลาญและนำไปใช้ไม่หมด เกิดเป็นไขมันสะสมตามร่างกายได้
- ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ควรต้องระมัดระวัง เพราะข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารที่มีน้ำตาล และไขมันค่อนข้างสูง ส่วนผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงกินมะม่วงสุก เพราะมีปริมาณโพแทสเซียมสูงด้วย
ย้ำกันอีกทีว่า “ข้าวเหนียวมะม่วง” กินได้ แต่ควรกินแบบพอประมาณ ไม่มากหรือบ่อยนัก และกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และในมื้อนั้นควรลดปริมาณอาหารอื่นที่มีส่วนประกอบของไขมัน น้ำตาล ลงรวมทั้งป้องกันโรคด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล
“แตงโม” ผลไม้เนื้อหวานสดชื่น เสริมภูมิต้านหวัดช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
“ส้มยูซุ” ผลไม้ยอดฮิตที่ได้ประโยชน์ไม่แพ้ความอร่อย
@stayfitbybdms เที่ยงนี้กินไรดีนะทุกคน #stayfit #StayfitbyBDMS #bdms #healthbringswealth #preventive #bdmspreventive #40+#ตรวจสุขภาพ #แอนสิเรียม#สุขภาพดี #ท้าให้ลอง #อาหาร #มื้อนี้กินอะไรดี #หุ่นดี เสียงต้นฉบับ - Stay Fit by BDMS