“บรอกโคลี”ควรกินดิบหรือสุก? ช่วยต้านมะเร็ง-ป้องกันกระดูกพรุนได้มากกว่า
บรอกโคลี หนึ่งในผักตระกูลกะหล่ำ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเป็นมิตรกับทุกคนโดยเฉพาะเพศหญึ่งที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งที่บรอกโคลี่ต้านได้และโรคกระดูกพรุนที่เสี่ยงกว่าเพศชาย ... แล้วที่นี้เราควรกินบรอกโคลีที่สุกหรือดิบดีกว่ากัน?
บรอกโคลี (broccoli) จัดอยู่ในผักตระกูลกะหล่ำ คุณค่าทางโภชนาการของบรอกโคลี ต่อ 100 กรัม มีทั้ง พลังงาน 34 กิโลแคลอรี อุดมไปด้วยเบตา-แคโรทีน(beta-carotene) เส้นใยอาหาร วิตามิน C รวมไปถึงสารอาหารต่างๆอีกหลากหลายชนิด บรอคโคลีมีสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นตัวช่วยทำให้ตับขับสารพิษ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญของเนื้องอก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษในการต่อต้านมะเร็ง คือสามารถป้องกันอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายเซลและทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้
4 ผักควรกินดิบ มากกว่าปรุงสุกเพื่อรักษาสารอาหารและประโยชน์สูงสุด
9 อาหารสำหรับคุณผู้หญิง ช่วยควบคุมน้ำหนัก-ลดเสี่ยงมะเร็งบางชนิด
การศึกษาของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์พบว่า หน่อหรือต้นอ่อนของบรอคโคลีนั้นมีเอนไซม์ไมโรซิเนส (myrosinase) และมีปริมาณที่มากกว่าบรอคโคลีต้นที่โตแล้ว ดังนั้นการกินทั้งบรอคโคลีและต้นอ่อนของมันจะให้ประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าการกินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ตามปกติแล้วเราจะนิยมบริโภคในส่วนที่เป็นดอกและในส่วนของลำต้นจะนิยมรองลงมา แต่คุณค่าทางอาหารกลับมีอยู่มากในส่วนของลำต้น ดังนั้นการรับประทานทั้งสองส่วน ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดนั่นเองจากการศึกษาวิจัยของมหาลัยอิลลินอยส์พบว่าการรับประทานบรอคโคลี โดยเฉพาะหน่อหรือต้นอ่อนของบรอคโคลีนั่น เมื่อรับประทานร่วมกับ ต้นอ่อนของบรอคโคลีจะช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเนื่องจากในหน่อหรือต้นอ่อนบรอคโคลีนั้นมีเอนไซม์ไมโรซิเนส (Myrosinase) จะมีปริมาณมากกว่าต้นบรอคโคลีที่โตแล้ว
ประโยชน์ของบรอคโคลี
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา (ซีลีเนียม)
- ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน เรื่องจากบรอคโคลีเป็นผักที่มีแคลเซียมสูง
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยสามารถ
- ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำลายเซลล์และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
- ผักในตระกูลกะหล่ำ มีความสัมพันธ์กับการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองได้ (Strokes)
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคปอดร้ายแรง จากงานวิจัยของ ดร.ชีแอม บิสวัล (วิทยาลัยแพทยศาสตร์จอห์นส ฮอฟกินส์ USA) พบว่าสารในบรอคโคลีอาจช่วยยับยั้งการทำลายที่นำไปสู่ไปการเป็นโรคปอดร้ายแรง หรือที่เรียกว่าโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้
- สารซัลโฟราเฟนสามารถช่วยป้องกันการทำลายของหลอดเลือดที่เกิดจากโรคเบาหวานได้มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
- ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ ลอนดอน ระบุว่ามีเพียงผักผลไม้ 5 ชนิดเท่านั้นที่มีารประกอบที่ทำหน้าที่คล้ายยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งได้แก่ บรอคโคลี ส้ม แอปเปิ้ล หัวไชเท้า และมันฝรั่ง โดยบรอคโคลีนั้นเป็นผักที่มีสารดังกล่าวมากที่สุด
- บรอคโคลีมีสารเคอร์เซทิน (Quercetin) ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มความอึด แรงดี ออกกำลังได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหอบหืด ภูมิแพ้ มะเร็ง โรคหัวใจได้อีกด้วย
- บร็อกโคลีมีโฟเลตสูง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรก เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากการพิการทางสมองของเด็กทารก
ลิสต์อาหารป้องกัน “มะเร็งเต้านม”ชะลอโรคลุกลามกระตุ้นภูมิคุ้มกัน!
การกินบรอกโคลีควรกินดิบหรือปรุงสุก?
การรับประทานบรอคโคลีเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการต้านมะเร็งมากที่สุดนั้น ควรเลือกบรอคโคลีที่มีดอกแน่น กระชับ และมีสีเขียวเข้ม ในส่วนก้านควรจะเหนียวนุ่มและแข็งแรง หลีกเลี่ยงต้นที่มีดอกสีเหลือง ใบเหี่ยวเฉา และที่ก้านหนาหรือแข็งจนเกินไปการรับประทานบร็อกโคลี่เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้น จะต้องไม่ผ่านกรรมวิธีการปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานผ่านความร้อนไม่สูงนานจนเกินไปเพราะจะเป็นการทำลายเอนไซม์ไมโรซิเนส ตัวเอนไซม์ที่สามารถย่อยแป้งและน้ำตาลได้
อีกทั้งไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เนื่องจากบรอกโคลี เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับกะหล่ำปลี จึงมีน้ำตาลที่ส่งโทษทำให้เกิดอาการท้องอืดได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีฮอร์โมนบางชนิด ที่กระตุ้นทำให้เกิดโรคไทรอยด์ได้อีกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ผักอย่างบรอกโคลี จึงเป็นผักอีกหนึ่งชนิด ที่เราไม่ควรนำมารับประทานแบบดิบ ๆ ในปริมาณมากนั่นเอง
ทั้งนี้ ไม่ว่าอะไรควรกินแต่พอดีที่สำคัญควรล้างผักให้สะอาดป้องกันสารพิษตกค้าง และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลาย ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายได้สร้างภูมิต้านทานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลอ่างทองและโรงพยาบาลสำโรงการแพทย์
วิจัยเผยอาหารลดการอักเสบ ป้องกันมะเร็งที่ผู้หญิงต้องระวังมากกว่า!
5 ผลไม้บำรุงเลือดช่วยระบบไหลเวียนโลหิต ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตาย