คาดไข้เลือดออกกลับมาระบาดอีก หลังคร่าชีวิตแล้ว 15 ราย พบมากในกลุ่มเด็ก
กรมควบคุมโรค เตือนเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งมักระบาดในช่วงฤดูฝนและในปีนี้คาดการณ์ว่าโรคไข้เลือดออกจะกลับมาระบาดอีกครั้ง ตามวงรอบของปีที่จะระบาด ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กนักเรียน พร้อมขอความร่วมมือประชาชนและสถานศึกษาช่วยกันกำจัด แหล่งวางไข่ยุงลาย ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง สะอาด ไม่ให้เป็นที่เกาะพักของยุง
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ได้คาดการณ์ว่าไข้เลือดออกจะกลับมาระบาดอีกครั้งในปีนี้ตามวงรอบของปีที่จะระบาด ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ เมื่อฝนตกจะทำให้น้าขังในภาชนะต่างๆ กลายเป็นแหล่งวางไข่ของยุง สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2566 พบรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น โดยพบผู้ป่วยจำนวน 18,173 ราย เสียชีวิต 15 ราย
คาดไข้เลือดออกสูงกว่าปีที่แล้ว 5.4 เท่า แนะมีอาการห้ามซื้อยากินเอง
“ไข้เลือดออก”สัญญาณภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิต-เป็นซ้ำเสี่ยงกว่าเดิม
กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มอายุ 5-14 ปี (6,088 ราย อัตราป่วย 79.00) รองลงมา 15-24 ปี (4,247 ราย อัตราป่วย 49.53) ส่วนจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงที่สุดในเดือนพฤษภาคม คือ จังหวัดตราด น่าน จันทบุรี แม่ฮ่องสอน และระยอง ตามลำดับ
สำหรับลักษณะอาการของโรคไข้เลือดออก คือ มีไข้สูงเฉียบพลัน และสูงลอยประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร ส่วนใหญ่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ต่อมาไข้จะลดลง ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ซึ่งลักษณะอาการบางอย่างของโรคไข้เลือดออก อาจมีอาการคล้ายกับโรคโควิด 19 จึงขอให้ประชาชนสังเกตอาการป่วยของคนในครอบครัว หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน และเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดลง ขอให้คิดว่าอาจป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก และไม่ควรซื้อยารับประทานเองโดยเฉพาะยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโครฟีแนก แอสไพริน รวมถึงยาชุด ซึ่งมีผลทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารได้ง่าย และยากต่อการรักษา ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย ประเมินอาการ เพื่อที่จะได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว จะช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ชุดตรวจโรคไข้เลือดออกชนิดรวดเร็ว (Dengue Rapid Diagnosis Test) ทำให้สามารถวินิจฉัยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกได้เร็วมากขึ้น
สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ส่วนใหญ่คือเด็กมีภาวะอ้วน รองลงมาคือไปรับการรักษาล่าช้า และได้รับยาในกลุ่ม NSAIDs ซึ่งในขณะนี้ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน จึงขอความร่วมมือสถานศึกษาทั่วประเทศ ช่วยกันทำความสะอาดโรงเรียน จัดการขยะ เก็บกวาดเศษใบไม้ทำให้สิ่งแวดล้อมปลอดโปร่ง พร้อมทั้งสำรวจและกำจัดแหล่งวางไข่ยุงลายในโรงเรียนทุกสัปดาห์
เตือนระวังไข้เลือดออก หลังพบผู้ป่วยสะสมราว 14,800 คน เสียชีวิต 13 คน
การป้องกันโรคไข้เลือดออกให้ได้ผลดีที่สุด คือการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด
- ทายากันยุงหรือนอนในมุ้ง
- กำจัดแหล่งวางไข่ยุงลายรอบบ้าน
- ทำลายภาชนะที่มีน้ำขัง หรือใช้ทรายกำจัดลูกน้ำบริเวณน้ำขัง
- ไม่สร้างแหล่งวางไข่ยุงลายเพิ่มขึ้น โดยขอให้ยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ เก็บบ้านให้สะอาด ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้าน ให้มีความเป็นระเบียบ ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง เก็บขยะ บริเวณรอบบ้านไม่ให้เป็นแหล่งวางไข่ยุงลาย และ เก็บน้ำ โดยปิดฝาภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในแจกันทุกสัปดาห์
- ขัดขอบภาชนะ เพื่อกำจัดไข่ยุงลาย
ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถป้องกันโรคติดต่อนำโดยยุงลายได้ทั้ง 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
เช็ก 6 โรคที่ต้องระวังเด็กเล็กช่วงเปิดเทอม อาการและวิธีป้องกัน
รู้จัก"ไวรัสโนโร" หลัง จ.ชัยภูมิ ห่ามเด็ก นร. หลายร้อยคน ส่งรพ.เหตุท้องเสียรุนแรง