วิธีรักษาอาการปวดปลายประสาทโรคงูสวัด เทคนิคทำให้แผลผื่นหายเร็ว!
สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ เผยอาการปวดปลายประสาทตามผิวหนังจากเชื้อไวรัสงูสวัด เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย และวิธีการดูแลผื่นงูสวัด
อุบัติการณ์ของการเกิดผื่นจากงูสวัดอยู่ที่ 3.4 ราย ต่อ 1,000 คน และมีแนวโน้มสูงขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 50-90 ปี โดยพบ 11 ราย ต่อ 1,000 คน นอกจากนี้ยังพบว่า ประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด ทางการแพทย์นั้นระบุเอาไว้ว่าโรคงูสวัดนั้น ไม่ใช่โรคผิวหนัง แต่เป็นโรคทางระบบประสาท อาการปวดปลายประสาทตามผิวหนังจะเกิดภายหลังการอักเสบ เป็นผื่น ตุ่มน้ำจากเชื้อไวรัสงูสวัด
ระยะโรคงูสวัด อาการนำก่อนผื่นขึ้นตามแนวเส้นประสาทอักเสบ
เทียบเคียงอาการ “ฝีดาษวานร” กับไข้ทรพิษ เริม อีสุกอีใส และงูสวัด
โดยการติดเชื้อไวรัสงูสวัดเป็นผลจากการกระตุ้นซ้ำของเชื้อไวรัสที่หลบซ่อนอยู่ในปมประสาทรับความรู้สึกและก่อให้เกิดผื่นที่มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส กระจายไปตามผิวหนังที่เส้นประสาทนั้นๆ ครอบคลุมอยู่ร่วมกับมีอาการปวดที่จะทุเลาและหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์
ทั้งนี้ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดตามมาในเวลา 3 เดือน หลังเกิดอาการงูสวัด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตามผิวหนัง บริเวณที่เคยอักเสบมีผื่นหรือตุ่มน้ำจากงูสวัด มีอาการแสบร้อน ปวดแปล๊บๆ คล้ายถูกไฟช็อต หรืออาการปวดผิวหนัง ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการกระตุ้นด้วยสัมผัสต่างๆ ร่วมกับอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทรับความรู้สึก เช่น ชา คันยุบยิบผิดปกติ อาการปวดปลายประสาทจากงูสวัดเป็นผลโดยตรงจากการตอบสนองที่เส้นประสาทถูกทำลายในช่วงที่มีการอักเสบจากงูสวัด
ปัจจัยเสี่ยงของอาการปวดปลายประสาทจากงูสวัด คือ อายุที่เพิ่มสูงขึ้น ความรุนแรงของอาการแรกเริ่มของผื่น อาการปวดในช่วงที่เกิดการอักเสบจากงูสวัด โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคร่วมเรื้อรัง เช่น ปอดอักเสบ เบาหวาน หรือกลุ่มผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานบกพร่อง
การรักษาอาการปวดปลายประสาทจากงูสวัด
เป็นการรักษา ตามอาการโดยอาจใช้เพียง topical treatment เช่น เจลพริก (capsaicin gel) ถ้าอาการปวดไม่มากหรือเลือกใช้ยากลุ่มกันชักหรือยากลุ่มต้านเศร้า อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่มีอาการปวดจากงูสวัด สามารถดีขึ้นและหายได้เอง เมื่อเวลาผ่านไปสำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดปลายประสาทจากงูสวัด ทำได้โดยการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ
พฤติกรรมเสี่ยง “โรคงูสวัด” ในวัยทำงาน วิธีรักษาให้เหลือแผลเป็นน้อยที่สุด!
การดูแลรักษาด้วยตัวเอง
- ในระยะเป็นตุ่มน้ำใส ให้รักษาแผลให้สะอาด โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือกรดบอริค 3% ปิดประคบไว้ประมาณ 5 – 10 นาที แล้วชุบเปลี่ยนใหม่ ทำวันละ 3 – 4 ครั้ง
- ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้าสู่แผลได้ ควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ
- ถ้าปวดแผลมาก สามารถทานยาแก้ปวดได้
- ไม่ควรใช้เล็บแกะเกาตุ่มงูสวัด เพราะอาจทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนอง แผลหายช้า และ กลายเป็นแผลเป็นได้
- ไม่ควรเป่าหรือพ่นยาลงบนแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลหายช้าและกลายเป็นแผลเป็นได้
ทั้งนี้แนะนำให้กลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 50-60 ปีขึ้นไป ได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสงูสวัด เนื่องจากการศึกษาพบว่าสามารถลดอุบัติการณ์เกิดงูสวัดได้ถึง 50% และลดอุบัติการณ์การเกิดอาการปวดปลายประสาทจากงูสวัดได้ถึง 66%เลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ และ กรมการแพทย์
ภาพจาก : shutterstock
งูสวัดพันรอบเอวตายจริงหรือไม่ ? เคยติดเชื้อแล้วป่วยซ้ำได้อีกหรือไม่?
ป่วยอีสุกอีใสมาก่อนต้องระวังงูสวัด เผยอาการแทรกซ้อนอันตราย!