จากกรณีพรรคก้าวไกล เดินทางเข้ายื่นหนังสือกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ปิดสวิตช์ ส.ว.เพื่อยกเลิกอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ภายหลังที่ประชุมรัฐสภา มีมติไม่เห็นชอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30
ทั้งนี้หากดูจากเงื่อนไขสำคัญในการแก้รัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้ในหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ การพิจารณาในรัฐสภา
ทั้งนี้รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ
โดยในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบ ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (หากรัฐสภามี ส.ส.และส.ว.ครบจำนวน 750 คน จะต้องใช้เสียง 376 เสียง) และในจํานวนนี้ต้องมี ส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ (หากมี ส.ว.ครบ 250 คน จะต้องได้เสียงเห็นชอบจาก ส.ว.จำนวน 84 เสียงขึ้นไป )
ส่วนวาระที่สองขั้นพิจารณา ให้ถือเสียงข้างมากเป็นหลัก โดยเมื่อรพิจารณาวาระที่สองเสร็จแล้ว ให้รอ 15 วัน ก่อนให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สาม
ส่วนการพิจารณาในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิก ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (หากรัฐสภามี ส.ส.และส.ว.ครบจำนวน 750 คน จะต้องใช้เสียง 376 เสียง) โดยในจํานวนนี้ต้องมี ส.ส.จากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาหรือรองประธานสภา เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน (จุดนี้ตัวเลขยังสรุปชัดเจนไม่ได้) และมี ส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า หนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ (หากมี ส.ว.ครบ 250 คน จะต้องได้เสียงเห็นชอบจาก ส.ว.จำนวน 84 เสียงขึ้นไป)
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับผลโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รอบแรก เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีเสียง ส.ส.และ ส.ว. โหวตเห็นชอบ นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง งดออกเสียง 199 เสียง ซึ่งไม่ถึงเสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 376 เสียง
ดังนั้นหากเทียบคะแนนเสียงสนับสนุนที่พรรคก้าวไกลมีอยู่ในมือเทียบกับจำนวนเสียงตามเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญในมาตรา 256 จะเท่ากับว่า ในวาระแรก พรรคก้าวไกลต้องหาเสียงสนับสนุนร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ได้เกิน 376 เสียง ซึ่งยังขาดอีก 52 เสียง เมื่อเทียบกับการโหวตนายกฯ ที่ได้เสียงสนับสนุน 324 เสียง
นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขอีกว่าในจำนวนเสียงที่ได้ต้องได้เสียงจาก ส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม หรือคิดเป็นจำนวนจำนวน 84 เสียง ซึ่งยังขาดอีก 71 เสียง เมื่อเทียบกับการโหวตนายกฯ ที่ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว.เพียง 13 เสียง
นอกจากนั้นเงื่อนไขสำคัญอีกอย่างคือการพิจารณาในวาระที่สาม ที่นอกจากจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา และในจำนวนเสียงที่ได้ต้องได้เสียงจาก ส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามแล้ว ยังมีเงื่อนไขว่าในจํานวนเสียงที่ได้นั้น จะต้องมี ส.ส.จากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาหรือรองประธานสภา (พรรคฝ่ายค้าน) เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน
ซึ่งจุดนี้ยังสรุปจำนวนที่ชัดเจนไม่ได้ เนื่องจากขณะนี้ยังถือว่าไม่มีรัฐบาล และฝ่ายค้านที่ชัดเจน ดังนั้นหากเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกรีฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ความไม่ชัดเจนดังกล่าวอาจจะเป็นปัญหาถกเถียงในรัฐสภาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามสรุปได้ว่า การเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.มากกว่า การโหวตนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ เนื่องจากในการโหวตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลต้องการเสียงจาก ส.ว. 64 เสียง ก็เพียงพอที่จะส่งนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว แต่การจะเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญกัลต้องอาศัยเสียง ส.ว.สนับสนุนเพิ่มขึ้นเป็น 84 เสียง ถึงจะผ่านวาระที่หนึ่ง และวาระที่สามไปได้