ค่ำวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน NationTV Dinner Talk: Vision for Thailand 2024 แสดงวิสัยทัศน์นำพาเศรษฐกิจประเทศ จนเหมือนกับการแถลงนโยบายของรัฐบาล ตั้งแต่เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ไปจนถึงความขัดแย้งทางการเมืองต่าง ๆ ทำให้เกิดกระแสเป็นวงกว้างจากการตั้งคำถามของสังคมว่า ใครคือนายกฯ ตัวจริงกันแน่?
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร่วมพูดคุยกับ PPTV ในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk ไว้อย่างน่าสนใจ
เปิดโปรแกรมวอลเลย์บอลชายไทย ทำศึกซี วี ลีก 2024 สัปดาห์ 2
"ทักษิณ" มีแนวโน้มดึงกลุ่ม "ธรรมนัส" ร่วมรัฐบาล
รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า แม้กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐจะเสนอ 4 รายชื่อเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ถือว่าจบเพียงการเสนอชื่อ และจบมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หากดูท่าทีของนายทักษิณในงานนี้ จะเห็นได้ชัดว่านายทักษิณมีแนวโน้มเอาปีกทางร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ในขณะเดียวกันก็มีการแอบไปดึงพรรคประชาธิปัตย์มาด้วย
หมายความว่า 4 ชื่อที่พรรคพลังประชารัฐเสนอไป รัฐบาลอาจรับเอาแค่ 2 ชื่อ และอาจให้พรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายค้าน แล้วดึงกลุ่มของร้อยเอกธรรมนัสร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ในนามของพรรค แต่เป็นในนามของกลุ่ม
และหากสังเกตอีกจะพบว่า ชื่อที่ร้อยเอกธรรมนัสเสนอไปนั้นล้วนเป็นชื่อคนนอก เช่น ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หรือ อัครา พรหมเผ่า น้องชายของร้อยเอกธรรมนัส ก็ไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าคนที่เสนอชื่อจะเป็นคนของพรรคพลังประชารัฐ
นั่นหมายความว่า อาจมีการผลักพรรคพลังประชารัฐให้เป็นฝ่ายค้าน และนำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของกลุ่มร้อยเอกธรรมนัสเข้าร่วมรัฐบาล ราว 20 กว่าคน ในขณะเดียวกัน ก็มีการนำคนของพรรคประชาธิปัตย์มา 2 รายชื่อด้วย
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่มาสนับสนุนรัฐบาล เนื่องจากว่าหากมีการทำเป็นมตพรรค ก็ต้องส่งชื่อไปตามนั้น อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อาจกลืนเลือด ในอดีตนายชวนวิพากษ์วิจารณืนายทักษิณมากมาย รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการวิพาษ์วิจารณ์นายทักษิณด้วยเช่นกัน แต่กลับต้องไปอยู่ร่วมรัฐบาลของลูกสาวนายทักษิณ
ในแง่ของนายชวน คงเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ในแง่ของคนที่ถูกเสนอชื่อไปอาจไม่ได้รู้สึกอะไร รวมถึงคนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์นายทักษิณ ณ เวลานี้ก็แทบไม่เหลืออยู่ในพรรคแล้ว กระจัดกระจายกันไปหมด เหลือแต่นายชวนเป็นหลัก ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะดึงพรรประชาธิปัตย์มา
"ทักษิณ" ต้องพูดน้อยลง ระวังเข้าข่ายครอบงำพรรค
นายสมชัย กล่าวว่า หากเป็นไปตามที่วิเคราะห์ ถือเป็นการเล่นเกมการเมืองที่โหดพอสมควร ไม่สนใจว่ากติกามารยาททางการเมืองจะเป็นอย่างไร เวลาจะเล่นการเมืองต้องมีมารยาท คือ เคารพในความเป็นอิสระของแต่ละพรรค หากแต่ละพรรคจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีขอบเขตว่าพรรคเราทำแค่ไหน พรรคคุณทำแค่ไหน เคารพซึ่งกันและกัน หากมีการปฏิเสธให้ระบุว่าชื่อนี้มีปัญหา ก็ไปคุยกันต่อไป ต้องมีการดีลกันอย่างเป็นทางการ
ถ้าทำการเมืองในระบบ รัฐบาลต้องหยิบยก 4 ชื่อที่เสนอไปเป็นหลัก ถ้า 4 ชื่อนี้ชื่อใดมีปัญหา ให้ไปคุยกันใหม่ว่าเป็นชื่อใคร นี่คือการเมืองแบบเปิดเผย
หากนายทักษิณระบุว่า ใครที่ทุ่มเทให้กับรัฐบาลมากที่สุด ก็ควรเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง และหากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยิบยกชื่อของร้อยเอกธรรมนัส ต้องดูว่า นายทักษิณ เป็นคนนอก หากนายทักษิณพูด และพรรคทำตาม จะมีคนจ้องร้องเรียนว่าเป็นการครอบงำพรรค
เพราะฉะนั้นในฝั่งของนายทักษิณจำเป็นต้องพูดให้น้อยลง ไม่ว่าจะมีวิสัยทัศน์ระดับจักรวาลขนาดไหนก็แล้วแต่ ต้องรู้จักในการถนอมถ้อยคำ อะไรที่พูดไปแล้วดูเหมือนว่าจะครอบงำพรรคการเมือง หรือพรรคเพื่อไทย ก็ต้องระมัดระวัง
เพราะหากมีการฟ้องร้องขึ้นมา แม้ผลสุดท้ายจะไม่เป็นปัญหาก็ตาม แต่ระหว่างที่มีการสอบสวน ไต่สวนข้อเท็จจริงนั้นน่ารำคาญ ทำงานก็ติดขัดไปเสียหมด โทษในเรื่องนี้แรงถึงขั้นยุบพรรค แต่ถ้าอยากเล่นก็เล่น เป็นสิ่งซึ่งนายทักษิณอายุมากแล้ว อยากทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงไหม ยิ่งนายทักษิณเป็นคนนอก ยิ่งไม่สมควรเล่นแบบนี้
ในส่วนของการเสนอชื่อของพรรคประชาธิปัตย์นั้น คำถามคือ เป็นการเสนอชื่อโดยใคร เนื่องจากยังไม่มีการประกาศให้สมาชิกพรรคทราบโดยรับรู้ทั่วไป ยังไม่มีการเสนอเข้าเข้าไปยังคณะกรรมการบริหาร ถือว่าผิดวินัยพรรค ผิดจริยธรรมการเมืองได้
ตนมองว่าเป็นการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ คนที่คิดทำสามารถทำได้ แต่คนที่มองว่าเป็นความผิด และเป็นความผิดสำเร็จ ก็สามารถมองได้เช่นเดียวกัน รัฐบาลของนางสาวแพทองธารขณะนี้ เป็นรัฐบาลที่มีคนจับตาทุกฝีก้าว มีความมั่นคงมีคะแนนเสียงมากขนาดไหนก็สามารถถูกเหยียบจมได้
มอง "ทักษิณ" เป็นอัครมหานายก วิสัยทัศน์มองข้าม SME - เกษตรกร
รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า จากการกล่าววิสัยทัศน์ แสดงให้เห็นว่านายทักษิณเป็นอัครมหานายก ตนว่านายทักษิณกังวลใจในเรื่องของนางสาวแพทองธาร ตั้งแต่วันที่ได้รับการเลือกดำรงตำแหน่งมีความตื่นเต้นมาก พูดจายังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร และวันที่รับพระบรมราชโองการก็มีการพูดสปีชเล็กน้อย ดีกว่าวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่พอเจอนักข่าวถามนู่นนี่ ก็ทำท่าจะไปไม่เป็นเหมือนกัน
ตนมองว่า นายทักษิณเป็นห่วงว่า ขืนปล่อยให้นักข่าวไปถามจี้ เดี๋ยวมีอะไรก็หลุดออกมา แล้วจะยุ่ง ภาพลักษณ์ก็จะเสีย ดังนั้นจึงตัดสินใจทำเองดีกว่า เมื่อนักข่าวเข้าไปถามนายทักษิณก็พูดเป็นต่อยหอย สารพัดเรื่อง รวมถึงเรื่องกลุ่มไหนที่ทุ่มเทให้กับรัฐบาลมากก็ให้ดึงกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน
รศ.ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประชาชนไม่ได้มองว่านางสาวแพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีในเชิงพฤตินัย นางสาวแพทองธารเป็นนายกฯ ในเชิงนิตินัยเท่านั้น แต่นายกฯ ตัวจริงในเชิงพฤตินัยคือนายทักษิณ หลายคนคิดแบบนั้น
ฉะนั้นนายทักษิณอาจคิดว่า ถ้านายทักษิณแสดงบทบาทอะไรก็อาจเป็นผลดีต่อรัฐบาล แต่จะเป็นผลดีต่อนางสาวแพทองธารหรือไม่ นายทักษิณอาจลืมคิดถึงเรื่องนั้น ยิ่งแสดงบทบาทมากเท่าไร ก็ยิ่งกลบบทบาทของนางสาวแพทองธารให้น้อยลงเท่านั้น
การแสดงวิสัยทัศน์ของนายทักษิณนั้น เหมือนการแถลงนโยบายรัฐบาล เริ่มจากปัญหาของสังคมไทยนั้นซับซ้อนกว่าสมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง และปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาใหญ่ แต่เมื่อพยายามพูดถึงทางแก้ ก็ยังไม่ได้ชัดอะไร เป็นนามธรรมมาก หรือการส่งเสริม Green Energy แต่มีเจ็ตส่วนตัว นั้นก็ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้นโครงการทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการถมทะเล เรื่องของการขยายสนามบิน ไปจนถึงโครงการ Entertainment Complex มีโครงการไหนที่จะไปยกระดับความสามารถในการผลิต ยกระดับศักยภาพของชาวไทยได้บ้าง
รศ.ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า โดยภาพรวม นโยบายที่ออกมาแสดงทั้งหมดเป็นนโยบายที่ส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับบน ที่กลุ่มทุนจะได้ประโยชน์ แม้จะมี SME แตะไปเพียงนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมาก แต่ไม่มีการพูดถึงเกษตรกรเลยสักคำ
เพราะฉะนั้นสามารถวิเคราะห์ได้ว่า นโยบายพรรคเพื่อไทยต่อจากนี้ เป็นนโยบายที่ทุ่มลงไปส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เอื้อกับกลุ่มทุน ในการที่จะได้รายได้มา ส่วนกลุ่ม SME อาจวางเฉย ในขณะเดียวกันก็ดองกลุ่มเกษตรกรไว้ เพราะกลุ่มนี้เป็นฐานเสียง ดองไว้เพื่อไม่ให้มีการพัฒนาอะไรมากมาย เพื่อเอาของไปให้เวลาหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเหล่านี้เป็นนโยบายที่ต้องตั้งคำถามตัวโต ๆ ให้กระจ่าง
ฉะ "พรรคเพื่อไทย" คิดทำไม่เป็น หากทำตามวิสัยทัศน์ "ทักษิณ"
นายสมชัย กล่าวว่า สปีชของนายทักษิณ เรียกได้ว่าคนทั้งประเทศ รวมถึงนักวิชาการ สื่อ นักการเมือง หรือนักธุรกิจก็ดี เฝ้าติดตามว่าจะกลายเป็นแนวทางการบริหารของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ เพราะหลายเรื่องเหมือนเป็นเรื่องที่ต้องทำ เช่น Entertainment ต้องทำ ธุรกิจใต้ดินต้องเอาขึ้นมาไว้บนดิน เป็นต้น
หลายต่อหลายอย่างจึงเป็นเหมือนการชี้ทิศทางว่ารัฐบาลจะทำอะไรต่อไป ถ้ารัฐบาลทำ แสดงว่าที่ผ่านมารัฐบาลคิดไม่เป็น ยิ่งนายทักษิณพูดแล้วดูฉลาดมากเพียงใด จะทำให้คนอื่นที่เคยทำงานมาดูโง่มากขึ้นเท่านั้น หรืออาจถูกตั้งคำถามได้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมาเกือบครึ่งปี ไม่รู้จักคิดทำหรือ ต้องให้คนแก่ ๆ คนหนึ่งมาพูดแล้วถึงจะทำหรือ
และยิ่งหากมีการนำสิ่งต่าง ๆ ที่นายทักษิณพูดระหว่างการแถลงนโยบาย ยิ่งแสดงว่าต้องมีคนมาชี้นำ รัฐบาลถึงคิดเป็น ยิ่งนายทักษิณดูฉลาด บางคนอาจดูไม่ฉลาดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดี
เราอยากให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในรัฐบาลที่ทำงานเอง คิดเอง ไม่ใช่ว่าต้องให้คนคนหนึ่งมาบอกถึงทำ เช่นกรณีดิจิทัลวอลเล็ตที่เกือบปียังไม่ทำ คนคนนี้มาถึงปุ๊บแจกเดือนกันยายนพอดี
ตนคิดว่าจุดอ่อนในวิธีการคิดของนายทักษิณยังมีอีกเยอะ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นสิ่งที่ดีทั้งหมด และหากรัฐบาลรับ 100% ทั้งหมด ก็ตั้งคำถามว่ารัฐบาลไม่มีความคิดหรือ ไม่รู้จักวิพากษ์วิจารณ์ เลือกสิ่งที่ดีหรือ บางทีคำพูดที่ออกมาจากปากใครสักคนอย่าเพิ่งคิดว่าเป็นคำพูดที่ดีทั้งหมด ควรมีการตรวจสอบ อย่าไปหลงมากเกินไป
"ทักษิณ" ต้องยอมรับ คนไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อ 20 ปีก่อน
รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า สิ่งที่นายทักษิณอาจประเมินผิด คือ ความคิดของคนไทยเปลี่ยนแล้ว ผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ที่มาเลือกตั้งเมื่อปี 2566 อย่างน้อยเกือบ 20 ล้านคน เข้ามาเลือกพรรคเพื่อไทยเพราะคิดว่ายังมีจุดยืนในเรื่องประชาธิปไตยอยู่ถึง 4-5 ล้านคน เปลี่ยนความคิดเป็นผู้เลือกตั้งรุ่นใหม่ที่ใส่ใจกับปัญหาในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ผู้เลือกตั้งรุ่นเก่าที่ใส่ใจกับผลประโยชน์เฉพาะหน้าแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ต้องยอมรับว่าผู้เลือกตั้งรุ่นเก่าก็ยังมีอยู่ เป็นเหตุให้พรรคการเมืองอื่นที่ใช้วิธีการเก่า ๆ ยังสามารถได้คะแนนอยู่ แต่ถ้านายทักษิณคิดว่าผู้เลือกตั้งสนใจแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า สนใจแต่นโยบายประชานิยม ถ้าคิดแบบนี้แพ้แน่นอน
เช่น เงินดิจิทัล 10,000 บาท แม้จะออกมาอย่างใหญ่โต แต่ไม่มีผลต่อการเลือกตั้งแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าคนไทยในยุคนี้จะเหมือนกับคนไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา คนไทยมีการเรียนรู้มามาก รู้เส้นสนกลในมาเยอะ นโยบายสวยหรูนโยบายหลอก ๆ หากเอามาก็เหมือนเอามาหลอกตัวเองด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อ