การเมืองไทยในช่วงนี้ถือได้ว่าเข้มข้นอย่างมาก แม้จะยังไม่มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็เกิดเรื่องราวมากมาย เช่นการร้องเรียนต่าง ๆ และมีผู้คาดการณ์ว่ารัฐบาลของนางสาวแพทองธา ชินวัตร ต้องเผชิญกับเงื่อนไขทางกฎหมายรุมเร้า ทำให้ภาพฉากทัศน์การเมืองไทยนับจากนี้เป็นที่จับตาว่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีอะไรใหม่ ๆ เข้ามา หรือเข้าสู่เงื่อนไขกับดักต่างๆ ที่ทำให้รัฐบาลอายุสั้นลง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และ รศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับกรณีนี้ในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk ไว้อย่างน่าสนใจ
"เพื่อไทย" ไม่ชวน "ประชาธิปัตย์" ไม่มา - ทักษิณกลับไทย ทำประเทศไม่เหมือนเดิม
นายจตุพร มองว่าการเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถือเป็นการหาเรื่อง ต้องยอมรับว่าตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา 1 ตั้งแต่วันที่นายทักษิณ ชินวัตรกลับมายังประเทศไทย ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่ากาก้าวไกลแล้วประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่นายทักษิณกลับมาประเทศไทยไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย
นายทักษิณพูดเองบนเวทีว่า ก่อนกลับได้คุยกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องพาสปอร์ต ปัญหาคือใครเป็นผู้ออกพาสปอร์ตให้? ได้คุยกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เรื่องจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่ตนเป็นคนหลบหนีคดีในขณะนั้น แต่กลับคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล แม้กระทั่งเรื่องความไม่พอใจกับพลเอกประวิตร ที่เขาอยากเป็นประธาน ป.ป.ช. แต่ถามว่านายกมีสิทธิแต่งตั้งประธาน ป.ป.ช. หรือ?
นายจตุพรกล่าวต่อว่า แต่ละเรื่องเป็นการยึดอำนาจเพื่อต้องการแทรกแซงองค์กรอิสระ เพียงแต่การอธิบายทุกอย่างนั้นไม่ยี่หระ เช่น การคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล การคุยเรื่องพาสปอร์ต รวมถึงกรณี สว.152 เสียงของพลเอกประยุทธ์ แค่นี้ยังประหลาดไม่พอหรือ?
อีกทั้งพรรคการเมืองที่จับมือรอบแรก กรณีพรรคเพื่อไทยไม่เคยประกาศไม่จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน ประกาศเพียงแค่พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ และคณะรัฐประหาร แต่กับพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยบอก เพราะไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครคิดว่าจะร่วม
เพราะฉะนั้นไม่อยากให้โทษพรรคประชาธิปัตย์ ให้โทษพรรคเพื่อไทยดีกว่า เพราะพรรคเพื่อไทยมีคนไปต่อสู้และตายมาเป็นร้อย บาดเจ็บ 2 พัน สูญเสียอิสรภาพก็เยอะ ขณะเดียวกันฝ่ายต่อต้านนายทักษิณ ตายเจ็บล้มละลายเยอะแยะมากมาย ติดคุกก็มี เพื่อให้ได้รัฐบาลแบบนี้หรือ? ประชาชนทุกฝ่ายต่างถูกหลอกกันถ้วนหน้า แต่มีประชาชนบางส่วนยังถูกหลอกอยู่เพราะผลประโยชน์ เพราะความเป็นทาสอยู่
กรณีพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ก็เช่นกัน ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่บากหน้าไปชวน เขาก็มาไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่พรรคเพื่อไทยเอง ที่ไม่รู้ว่ามีคนตายมีคนเจ็บมีคนสูญเสียทุกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องว่าควรร่วมหรือไม่ควรร่วม แต่คนเราอยู่ในสังคมที่ตลบแตลงได้อย่างไร หาเสียงเพื่อได้คะแนนใส่เสื้อแดง ได้คะแนนมาแล้วใส่เสื้อเหลืองเพื่อป้องกันตัว แบบนี้ทุเรศ
ปภ.รายงานน้ำท่วม 5 จว. ภาคเหนือ-ภาคกลางตอนบนยังอ่วม!
“เงินสงเคราะห์บุตร 2567” เช็กเลยแต่ละเดือนโอนเข้าบัญชีวันไหนบ้าง
นักวิทย์ถ่ายภาพความละเอียดสูงพื้นผิว “ดาวเหนือ” ได้เป็นครั้งแรก
"บ้านป่ารอยต่อ" มีโอกาสเป็นศูนย์กลางรวมพลโค่น "เพื่อไทย"
รศ.โอฬาร กล่าวว่า การตั้งรัฐบาลชุดนี้มีปัญหามากในการสร้างพรรคร่วม คาดว่ามากจากความอยากเอาชนะในทางการเมือง ขยับหมากตัวเดียวศัตรูตายหมด ปิดสวิตช์ 3 ป. พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะคู่ขัดแย้ง 2 ทศวรรษ สูญสิ้นความนิยมชมชอบในเชิงอุดมการณ์ทันที และพรรครวมไทยสร้างชาติทำให้คณะ กปปส. ดูเป็นขบวนการต้มคนไทย อ้างถึงการปฏิรูป แต่เนื้อแท้ก็ต้องการหวังผลประโยชน์ในแง่ของอำนาจทางการเมือง
หลังจากนี้ มองว่าบ้านป่ารอยต่อ ณ วันนี้จะวางท่าทีได้ 2 แบบ แบบแรกคือยอมลดบาบาท ยอมให้ปิดสวิตช์ เปลี่ยนจากบ้านป่ารอบต่อเป็นบ้านพักคนชรา กับแบบที่ 2 คือ ในเมื่อสถานการณ์เดินทาถึงจุดที่จะต้องแตกหักกันแล้ว และดูเหมือนการที่นายทักษิณพยายามบอกว่าถูกกระทำ บ้านป่ารอยต่อจะกลายเป็นศูนย์กลางของคู่ตรงข้าม เป็นการรวมพันธมิตรทั้งหมดเข้ามา
รศ.โอฬาร กล่าวต่อว่า หลังจากรัฐบาลชุดนี้จัดตั้งเสร็จ มี ครม.เสร็จ แน่นอนว่าคนที่มีบทบาทสำคัญในด้านการบริหารคือนายทักษิณ ชินวัตรอยู่แล้ว เป็นผู้มิทธิพลเหนือ ครม. เหนือรัฐบาล เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ ตนเชื่อว่าพรรคประชาชนต้องการที่จะเล่นการเมืองอยู่ในเกมกติกา พออยู่ในเกมเช่นนี้ โอกาสที่จะสร้างเงื่อนไขที่จะมีผลในเชิงลบกับรัฐบาลมีเพิ่มขึ้น อาจเกิดพันธมิตรชั่วคราวขึ้น จากการรวมตัวกันของคนที่ไม่พอใจนายทักษิณ ไม่พอใจการตั้งรัฐบาลชุดนี้ ไม่พอใจที่พรรคตัวเองไปร่วมมือกับรัฐบาล ซึ่งจะทำให้เกิดแนวร่วมของพันธมิตรที่ก่อนหน้านี้อาจเป็นศัตรูต่อกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการล้มรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร
รศ.โอฬาร กล่าวว่า จุดเริ่มต้นพอติดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว ถ้าจะไปต่อได้คือการขับเคลื่อนนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายเรือธงทั้งหมดต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ที่ต้องเข้าเป้าทั้งหมด และต้องทำให้อย่างน้อยเศรษฐกิจรากหญ้า ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีนี้ต้องดีขึ้น เพราะอาจเจอศึกข้างหน้ารออยู่
ซึ่งศึกข้างหน้าคือ ถ้ารัฐบาลไปได้ 3 ปี จะไปเจอกับการเลือกตั้งปี 2570 หากมองไปข้างหน้าอาจจะมีหลายฝ่ายมาพึ่งพาพรรคเพื่อไทย และรวมตัวกันต่อสู้กับพรรคประชาชน แต่สถานการณ์ที่กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้คือ ต้องทำตามนโยบายอย่างเดียว ซึ่งดูแล้วเหนื่อยและยากมาก เนื่องจากมีการประเมินว่าจะมีรัฐบาลใต้ดินต่อไป
"จตุพร" ชี้ "อิ๊งค์" เปลี่ยนไป อ้างประเทศไทยเดินหน้า เป็นความต้องการส่วนตัว
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีที่นางสาวแพทองธารให้สัมภาษณ์เรื่องการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลว่า สิ่งที่เปลี่ยนไปคือพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ หรือแม้กระทั่งนางสาวแพทองธารเองก็ตาม ช่วงที่หาเสียงมีการนำเสนอว่าต้องตามเสื้อแดงกลับบ้าน ปัญหาคืออย่าอ้างว่าประเทศไทยต้องเดินหน้า เพราะนางสาวแพทองธารไม่ใช่ประเทศไทย นายทักษิณไม่ใช่ประเทศไทย และรัฐบาลก็ไม่ใช่ประเทศไทย
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณพูดกับประชาชนไว้อย่างไร? แม้จะไม่ได้พูดไว้ แต่การเชิญชวนพรรคประชาธิปัตย์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ตลอดระยะเวลาการไปปราศรัยกับผู้คนเพื่อให้ได้คะแนนเสียง กราดใส่พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐแบบสาดเสียเทเสีย ทำลายระบบการเมืองกันอยู่แล้ว
ดังนั้นอย่าอ้างว่าประเทศไทยเดินหน้า เป็นเพียงความต้องการความเห็นแก่ตัว ทรยศต่ออุดมการณ์ที่เคยประกาศ ไม่ได้ต้องการเสียง แต่ต้องการความสะใจ ครอบครัวตัวเองติดคุกไหม? เคยไปตายอะไรกับคนเสื้อแดงบ้าง? ฝ่ายที่ต่อต้านนายทักษิณเองก็บาดเจ็บล้มตายสูญเสียอิสรภาพเช่นเดียวกัน คุณเคยมีความรู้สึกนี้หรือไม่?
นายจตุพร กล่าวว่า การสามัคคีนั้นไม่ใช่เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ แต่ต้องเพื่อประเทศจริง ๆ ที่พยายามอธิบายนั้นเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตน ส่วนที่บอกว่าต้องก้าวไปข้างหน้านั้น ทำไมถึงไม่พูดตอนหาเสียงเลือกตั้ง? คุณใส่เสื้อแดงตามคนเสื้อแดงกลับบ้าน ชี้กราดนู่นพวกเผด็จการ นี่พวกยึดอำนาจ พวกนี้ทรยศต่อแนวทางประชาชน พวกนี้เป็นพวกตระบัตสัตย์ สุดท้ายเป็นเองหมด
"ของจริง" จะปรากฏ หลัง "อิ๊งค์" ทำหน้าที่สมบูรณ์
นายจตุพร มองว่าประชาชนทั้งสองฝ่ายต่างเจ็บปวดไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น นปช. พันธมิตร กปปส. คปท. ในช่วงร่วม 20 กว่าปีนี้ ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง ยกเว้นพวกที่เป็นทาสใกล้ชิดถอนตัวไม่ขึ้นยังต้องพึ่งพาเขา แต่สำหรับประชาชนที่สู้ด้วยใจสุจริต ต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้นอันเป็นเจตนารมณ์หลัก ไม่มีใครรรับภาพเหล่านี้ได้
ส่วนกรณีเรื่องพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าภายหลังการยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 ระหว่างนี้ 2 ครอบครัวที่เป็นปัญหา ณ ขณะนี้ คนที่ให้ความช่วยเหลือดูแลในฐานะผู้มีอำนาจ คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แม้นายทักษิณจะอยู่ดูไบในขณะนั้น เราก็เห็นตัวว่าการวางบุคคลที่ไปประสานงาน คยภายนอกอาจไม่เห็น แต่คนภายในเช่นตนได้เห็นตนเห็นตัว และรู้ว่าทำอะไรกันบ้าง
การที่วันหนึ่งตัดญาติขาดมิตรสิ้นเยื่อใยนั้น รอบข้างของพลเอกประวิตรนั้นหายาก มีแต่มือสอยทั้งนั้น พลเอกประวิตรเป็นคนที่ใจอ่อนที่สุด ให้ความเมตตากับผู้คนมากที่สุดทั้งที่เป็นพี่ใหญ่ การที่เป็นผู้ถูกกระทำแล้วยังยิ้มได้ ถือว่าน่ากลัว เชื่อว่าทันทีที่นางสาวแพทองธารทำหน้าที่นายกฯ โดยสมบูรณ์แล้ว ของจริงจะปรากฏ