ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่จะต้องจับตากันอย่างต่อเนื่อง สำหรับการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ บอร์ดดีเอสไอ ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ อาจรับหรือไม่รับคดีฮั้วเลือกสว.เป็นคดีพิเศษ หรือไม่
แต่ล่าสุดมีข้อมูลที่น่าสนใจออกมาว่า ทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจจะแยกกันเดิน ต่างคนต่างทำคดีในกรอบอำนาจของตัวเองที่กฎหมายให้ไว้
ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงภายในบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือบอร์ดดีเอสไอว่า ว่า ที่ประชุมบอร์ดได้ มีหนังสือเชิญ กกต. เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมายที่กรรมการบางท่านยังอาจมีข้อสงสัย ในวันที่ 5 มี.ค. ก่อนถึงวันประชุมบอร์ดฯ 6 มี.ค. ไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ กกต.ไม่ได้แจ้งหนังสือตอบรับมาแต่อย่างใด
โดยการไม่ได้หารือกับ กกต. ในวันนี้จะไม่ส่งผลต่อการประชุมในวันที่ 6 มี.ค.นี้แน่นอน เพราะท้ายสุดแล้วกรรมการก็จะมีการพิจารณาด้วยข้อมูลที่มีต่อไปได้ ส่วนทาง กกต. เองก็คงไม่จำเป็นต้องส่งผู้แทนท่านใดมาร่วมประชุมกับบอร์ดฯ เพราะโครงสร้างของบอร์ดดีเอสไอ ไม่ได้มีสัดส่วนของ กกต.อยู่แล้ว แต่ที่เชิญ เพราะต้องการ หารือในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ที่จะทำให้บางประเด็นกระจ่างขึ้นเท่านั้น
แหล่งข่าว บอกอีกว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าที่ประชุมบอร์ดพรุ่งนี้ จะออกมาในทิศทางใด แต่ทางคณะอนุกรรมการฯที่ประชุมไปเมื่อวันจันทร์ที่3 มีนาคมที่ผ่านมา ทได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเข้ามาว่าเห็นควรรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากอนุกรรมการฯ ได้เห็นเป็นเอกฉันท์ตรงกันว่า มีความผิดอาญาเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 อั้งยี่ ซ่องโจร มาตรา 116 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตาม พ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เนื่องจากมีผลกระทบเป็นวงกว้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีต่อประชาชน ส่วนหากบอร์ดดีเอสไอจะมีมติเห็นด้วยหรือไม่ ก็เป็นดุลพินิจของกรรมการทั้ง 22 ท่านภายในบอร์ดฯ
ส่วนความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง อย่างมาตรา 77 วรรคหนึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัดอำนาจหน่วยงานใด เว้นแต่ กกต. จะขอรับโอนเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไปดำเนินการเอง ซึ่งหมายความว่าหากในวันที่ 6 มี.ค. บอร์ด กคพ. มีความเห็นให้รับคดีอาญาอื่นรวมถึงคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไว้เป็นคดีพิเศษด้วยนั้น กกต. ก็จะต้องแจ้งว่า กกต. จะรับเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งไว้ดำเนินการเอง หรือจะให้ดีเอสไอดำเนินการ ถ้าหากว่า กกต. จะรับไปดำเนินการ เราก็ต้องส่งรายละเอียดคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งให้ กกต. ภายใน 7 วัน
แหล่งข่าวบอกว่า ทั้งนี้ เท่าที่ทราบ กกต. จะมีกระบวนการไต่สวน และยื่นให้ศาลฎีกาพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องการตัดสิทธิ์เท่านั้น โดยที่ผ่านมา กกต. จะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลใด แต่ กกต. จะให้หน่วยงานพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายเป็นผู้ดำเนินการแทน
ในส่วนของดีเอสไอ หากพรุ่งนี้รับคดีฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ ทางดีเอสไอต้องตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา พร้อมกับตั้งเจ้าพนักงานจากหน่วยงานอื่นมาร่วมเป็นพนักงานสอบสวนด้วย เพราะจะไม่ทำสำนวนฝ่ายเดียว แต่ต้องเชิญเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มาทำการสอบสวนร่วมกัน เพื่อดำเนินการสอบสวนให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงและมีประสิทธิภาพ และจะได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล หรือชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริง
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ในสัดส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ปรากฏว่า พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้แจ้งลาการประชุมเป็นครั้งที่ 2 โดยให้เหตุผลติดภารกิจราชการ ซึ่งในการประชุมบอร์ด ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็ได้ลาการประชุมด้วยเหตุติดภารกิจราชการและมีอาการเจ็บป่วย
ส่วนที่เหลือคาดว่า มีอย่างน้อย 8 คนที่อาจไม่ลงมติรับคดีฮั้วสว.เป็นคดีพิเศษ เช่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย คนนี้เดาไม่ยากเพราะก็ทราบกันดีว่าเด็กใคร ส่วน นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุดและ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ทางฝั่งนักกฎหมาย ก่อนนี้มีกระแสข่าวว่าการประชุมครั้งที่ ทั้งคู่มีความเห็นว่า ดีเอสไอไม่ควรรับคดีฮั้วสว.เป็นคดีพิเศษ เพราะไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจ
นอกจากนี้ ก็อาจจะมี นายเพ็ชร ชินบุตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พล.อ.พิสิษฐ์ นพเมือง เจ้ากรมพระธรรมนูญ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการปราบปรามผู้มีอิทธิพล สายตำรวจเหมือนกัน เพื่อนลาประชุมไปแล้ว ก็มีความเป็นไปได้อาจจะไม่ลงมติ หรืออาจลงมติว่าไม่รับได้
และคนสุดท้าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.คนนี้อาจจะส่งตัวแทนมาประชุมเหมือนเดิมเพราะเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่เคยเข้าประชุม ซึ่งเป็นไปได้ว่าผู้แทนประชุมอาจไม่ลงมติ