เวลา 15.17 น. วันที่ 24 มี.ค.2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 หลังนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน พุ่งเป้าไปที่การหนีภาษีของ นางสาวแพทองธาร โดยระบุว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมามีสมาชิกอภิปรายที่เข้าใจว่าตัวเองเป็น “จอมยุทธ์” นั้น กำลังสำคัญผิด ในข้อเท็จจริง มีการใช้สำนวนโวหาร ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และนำเรื่องเรื่องภาษีที่เป็นคนละหมวดกันมาอธิบายให้คนเกิดความสับสน
แท้จริงๆ แล้วเป็นเรื่องตรงกันข้าม ถึงแม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ก็มั่นใจว่า เสียภาษี ให้กับรัฐมากกว่าท่าน
นางสาวแพทองธาร ยังกล่าวอีกว่า เรื่องบัญชีหนี้สิ้น และทรัพย์สิน ที่ทุกคนอยากให้ชี้แจง ขอเข้าใจตรงกันว่า ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ครบถ้วน ตามขั้นตอนทุกอย่าง นับจากวันที่ได้เข้าดำรงตำแหน่ง
ส่วนเรื่องของการทำธุรกรรมก่อนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ทรัพย์สิน กิจการ ของครอบครัว มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น มาตั้งแต่ปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยา 2549 อย่างเข้มข้นมาตลอด ไม่มีตอนไหน ที่ไม่เข้มข้นเลย ทุกบัญชี ทุกธุรกรรม อยู่ในสายตา อยู่ในที่เปิดเผย โปร่งใส มานานมากแล้ว
นอกจากนี้ ที่ดินของครอบครัวได้ถูกตรวจสอบทั้งหมด ทุกอย่างทุกต้องตามกฎหมาย ออกโฉนดโดยรัฐ ยืนยัน ไม่มีการซื้อที่ดิน ที่ไม่มีโฉนดอย่างแน่นอน
ขณะที่การทำธุรการเรื่องหุ้น เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ก่อนที่ตนจะเข้าสู่การเมืองหลายปี ซึ่งเป็นความตั้งใจในการปรับโครงสร้าง การถือหุ้นบริษัท โดยการซื้อขายผ่าน ตั๋วสัญญาซื้อเงิน หรือ PN ซึ่งเป็นหนังสือให้คำมั่นสัญญาว่า จะใช้เงินให้กับอีกบุคคลหนึ่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้ติดอากรสแตมป์ตามกฎหมายเรียบร้อย ซึ่งการซื้อขายแบบนี้บางรายการไม่มีการเสียภาษี เพราะยังไม่มีการชำระเงิน จึงยังไม่ทราบจำนวนและยังเสียภาษีไม่ได้
โดยการซื้อขายแบบนี้ จึงเป็นภาระหนี้สินระหว่างตนที่เป็นผู้ซื้อ และครอบครัวที่เป็นผู้ขาย ซึ่งมีความชัดเจน ไม่มีนิติกรรมอำพรางใด ๆ เพราะหากจะเกิดการซื้อขายจริง ยอดหนี้ก็ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินอยู่แล้ว ซึ่งตนก็ได้ยื่นกับ ป.ป.ช.ไปทั้งหมดแล้ว สามารถตอบได้ทุกอย่าง และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นปกติ ขอให้ถามสมาชิกในพรรคฝ่ายค้านเองก็ได้ว่า มีใครทำธุรกิจอะไรประมาณนี้หรือไม่ และมีการทำสัญญาใช้หนี้แบบนี้บ้างหรือไม่
ทั้งนี้กรณีที่สมาชิกอ้างว่า เรื่องนี้จะเป็นแหล่งทุจริตข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตัวสัญญาใช้เงิน ขบวนการใช้ยาเสพติดจะออกตั๋วให้กัน มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จินตนาการมากเกินไปเยอะเหมือนกัน เพราะการออกตั๋วจะต้องทำธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการได้โดยเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขายจะต้องรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใด ๆ ซึ่งการเลือกใช้วิธีออกตั๋ว PN แทนการรับให้ เพราะเป็นการดำเนินการธุรกิจอย่างเปิดเผย ไม่สามารถแอบทำได้
ส่วนเรื่องของการปรับโครงสร้างหุ้น จำเป็นต้องใช้การซื้อขาย แต่ ณ เวลานั้นตนเองยังไม่มีความพร้อมที่จะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสด จึงทำสัญญาตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน และมีการวางแผนที่จะชำระเงินแล้ว โดยรอบแรกจะชำระภายในปีหน้านี้ ซึ่งได้ตกลงกับครอบครัวแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร และหลักฐานการซื้อขายก็จะถูกปรากฏในบัญชีทรัพย์สินแน่นอน พร้อมย้ำว่า ทุกอย่างดำเนินการอย่างโปร่งใส เพราะไม่สามารถหลบเลี่ยง การจ่ายภาษีได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงกรณีที่ที่ดิน อัลไพน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ตอนที่บริษัทของครอบครัวซื้อที่ดินแปลงนี้ ตนเองอายุประมาณ 11 ขวบ และเป็นกรรมการบริษัท ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า ท่านจะต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นหรือไม่ พร้อมย้ำว่า การซื้อที่ดินของครอบครัว ซื้อแบบมีโฉนดตลอด เพราะทราบอยู่แล้วว่า ต้องทำในสิ่งที่ถูกกฎหมาย และหลังจากมีคดีความ ขั้นตอนที่เกิดขึ้นทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการ จนตนเองมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยไปแทรกแซง หรือไปสั่งให้หน่วยงานใดให้ทำเรื่องนี้ให้เป็นไปแบบตามที่ต้องการ ซึ่งคิดว่า ท่านอาจจะยังไม่เข้าใจกระบวนการทำงานที่แท้จริง ซึ่งตนขอรับเรื่องนี้ไว้เพื่ออธิบายให้คนเข้าใจมากขึ้นในอนาคต โดยหลังจากนี้ขออนุญาตมอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชี้แจงเพิ่มเติม
ส่วนที่ดินของเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่มีการพิพาทระหว่างกรมที่ดิน กับการรถไฟแห่งประเทศไทย และประชาชน ตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรี จะกระชับเรื่องนี้ และให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน ให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมาย พร้อมขอให้มั่นใจว่า ตนเองทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งทุกเรื่องต้องผ่านขั้นตอนตามระบบระเบียบ เพื่อป้องกันเกิดความวุ่นวายต่าง ๆ ตามมา ซึ่งตนเองไม่อยากให้ใช้เรื่องเซนซิทีฟเหล่านี้ พูดจาให้เกิดความสับสน และเกิดความแตกแยกในสังคม เพราะเราเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็พร้อมที่จะรับฟัง หากเห็นว่าใครมีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ก็ควรจะชื่นชมบ้าง จะได้เป็นกำลังใจในการทำงานด้วย เพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยเหมือนกัน โดยเข้าใจว่า ทุกคนมีความหวังดีต่อประเทศไทยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการพูดเพื่อให้เกิดความเกลียดชัง ความแตกแยก ตนคิดว่า “เราผู้มีวุฒิภาวะ ไม่ควรทำ”
จากนั้นนายวิโรจน์ ได้ขอใช้สิทธิ์พาดพิง โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีจะเสียภาษีมากกว่าใครนั่นเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ตนมั่นใจว่า คนไทย 60 ล้านคน หรือมากกว่านั้นเสียภาษีน้อยกว่านายกรัฐมนตรีทั้งนั้น ซึ่งอยากให้ดูมาตรา50 (9) ของรัฐธรรมนูญ บุคคลมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติประชาชนจะเสียมากหรือเสียน้อยทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน
โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้มีการลุกขึ้นประท้วง ตามข้อ 9 สำหรับญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งการพาดพิงสามารถใช้สิทธิ์ได้แต่สิ่งที่ท่านพูดออกมาทั้งหมดไม่มีสิ่งเกี่ยวเนื่องกับการพาดพิง ดังนั้นตามข้อ 9 ขอให้ประธานโปรดควบคุมการประชุม
จากนั้นนายภราดร ประธานในที่ประชุมได้วินิจฉัย โดยระบุว่า ตนกำลังฟังอยู่ว่านายวิโรจน์ จะเข้าเรื่องที่นายนายกรัฐมนตรี พาดพิงอย่างไรดังนั้นขอให้พูดอย่างกระชับ
จากนั้นนายวิโรจน์ได้มีการอภิปรายต่อว่า สรุปว่าเสียภาษีมากน้อยไม่สำคัญตราบใดที่ประชาชนทุกคนเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติ ถือว่าทำได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เสียภาษีมากแต่หาเทคนิคในการหลบเลี่ยงหนีภาษีต่างหากที่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ