นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา แถลงข่าวกรณีการคุกคามผู้แสดงจุดยืนปกป้องสิทธิมนุษยชน ไทย-กัมพูชา ว่า สืบเนื่องจากกรณีของนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และ นายสุณัย ผาสุข นักวิชาการอาวุโสจากองค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ที่ถูกคุกคามจากการแสดงความคิดเห็น และถูกนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ลดทอนไม่รอบด้าน และได้ตอบรับขอความคุ้มครองไปแล้วนั้น
เบื้องต้น ตนขอเรียกร้องไปยังรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยกันคุ้มครองและกำกับปัญหาเรื่องการข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบ ซึ่งขณะนี้ลามไปถึงญาติของนางอังคณา ทางกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) หลายคนฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้ แต่ทราบว่าก็ยังเงียบอยู่ จึงอยากให้กรรมการสิทธิมนุษยชนออกมาตรวจสอบการละเมิดที่เกิดขึ้น
รวมถึงองค์กรสื่อสารมวลชนให้พิจารณาการนำเสนอข้อมูลข่าวสารให้รอบด้าน รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ช่วยตรวจสอบ เรายืนยันในหลักการสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าใครล้ำเส้นไปในเรื่องของการข่มขู่คุกคาม อาฆาตมาดร้ายกันแพลตฟอร์มเองก็ต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ
นายเทวฤทธิ์ ยังกล่าวว่า ใครที่อาจจะรู้สึกว่าความผิดนี้หนักหนาและอยากขับไล่นางอังคณาก็อยากให้ไปดูต้นเหตุ ซึ่งนางอังคณาได้แปลหนังสือของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาที่ส่งเรื่องไปยัง UN เกี่ยวกับการเปิดเสียงรบกวนตามแนวชายแดน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารจึงคิดว่าไม่ควรจะมีความผิดใด ๆ ไม่ควรทำร้ายผู้ส่งสารไม่ว่าประเด็นนั้นจะเป็นข่าวร้าย และที่นางอังคณาโพสต์ เพื่อแสดงความห่วงใยต่อรัฐบาลโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศให้ตระหนักถึงเรื่องนี้ว่าอาจเข้าข่ายเรื่องละเมิดเรื่องจิตใจ
ส่วนที่บางคนโจมตีเรื่องตัวบุคคลว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีจุดยืนเรื่องนี้เลย ซึ่งความจริงแล้วหากย้อนกลับไปจะเห็นว่านางอังคณา ได้แสดงจุดยืนต่อกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ชายแดนด้วยเช่นกัน มีการประณามการวางกับระเบิดของทหารกัมพูชา
ซึ่งถ้าพูดในแง่ของต้นเหตุปัญหา ก็เห็นว่าโพสต์การแปลของนางอังคณา ความหนักเบาของปัญหาไม่ได้มีความรุนแรงอะไรเลย แม้กระทั่งจุดยืนในเรื่องนี้ก็มีจุดยืนอย่างรอบด้าน และขออย่าปฏิเสธเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะจะเป็นข้อได้เปรียบทั้งจุดยืน วิธีการ และเป้าหมายที่เราจะได้อยู่ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ
ในช่วงเวลาที่เราต้องได้รับความชอบธรรมในเวทีสากล ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่เราถูกละเมิดจากทางกัมพูชาก็เป็นสิ่งที่เรายึดโยงอยู่ จึงขออย่าให้ปฏิเสธในตรงนั้น และขอให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสารอยู่บนพื้นฐานบนสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน
นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า "เราไม่ได้ต่างกันในเรื่องประเด็นจุดยืนเพราะที่ผ่านมากระแสตั้งคำถามกับนักสิทธิมนุษยชนแน่นอนว่าในบางห้วงเวลา เราอาจรู้สึกว่าเขาเหมือนกรวดในรองเท้า มากวนจิตกวนใจแต่ในห้วงเวลาที่เราถูกละเมิดผมคิดว่าจำนวนไม่น้อยก็คือนักสิทธิมนุษยชน"
"ถ้าหากว่าย้อนกลับไปมีการเกิดขึ้นของ อินฟลูเอนเซอร์ทวงคืนความยุติธรรม ก็สะท้อนปัญหาว่ารัฐไทยเองไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมให้ได้ การปฏิบัติหน้าที่ตรงนั้นแทบไม่ต่างจากนักสิทธิมนุษยชน เพียงแค่นักสิทธิมนุษยชนไม่ได้จับในประเด็นที่ไวรัลเมื่อเปรียบเทียบกับอินฟลูเอนเซอร์" นายเทวฤทธิ์ กล่าว
นายเทวฤทธิ์ ยังกล่าวว่า ในภาพรวมที่ผ่านมาทั้งเจ้าหน้าที่รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์แสดงออกมา อาจทำให้เราเสียเปรียบในเวทีโลก
ด้านนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. ยืนยันหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก หากตราบใดที่ยังไม่เกินเลย โดยเห็นว่าปัจจุบันอยู่ในความคาบเกี่ยวเส้นบาง ๆ ระหว่างความรักชาติ จึงวิงวอนทุกฝ่ายว่ารักชาติอย่างมีสติและมีวุฒิภาวะ
โดยเชื่อว่าสมาชิกวุฒิสภาแสดงออกความคิดเห็นตามหลักความเชี่ยวชาญและหลักสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ไม่ต้องการเห็นการแสดงความคิดเห็นที่เกิดเลยถึงการขู่ทำร้ายถึงแก่ชีวิต ชี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรงที่เป็นห่วง
โดยในกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองของวุฒิสภาเชิญนายสุนัย ผาสุก กรรมาธิการสิทธิมนุษยชน เข้าให้ข้อมูลต่อกรรมาธิการ จึงแสดงความห่วงใยไปยังประชาชนเพราะขณะนี้อยู่ในช่วงละเอียดอ่อน เพราะอยู่ในช่วงปัญหาความมั่นคงระหว่างประเทศ ไม่ต้องการให้มีการหยิบยกประเด็นนี้ไปเล่นงานในเวทีโลกให้ไทยเสียเปรียบ
ขณะที่นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ สว. กล่าวเสริมถึงการแถลงข่าวแสดงจุดยืนในวันนี้ไม่ได้ต้องการปกป้องใครคนใดคนหนึ่งแต่ปกป้องหลักสิทธิมนุษยชน และบอกว่าการแสดงความรักชาติเป็นเรื่องที่ดี การรักครอบครัวเป็นเรื่องที่ดี การรักพวกพ้องก็เป็นเรื่องที่ดีแต่จะดีหากมีความรักเผื่อแผ่ถึงมนุษยชาติ ดังนั้นเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องสิทธิเขมร หรือสิทธิ์ของไทย แต่เป็นเรื่องของมนุษยชาติ หวังให้ทุกคนมองเห็นถึงภาพรวมใหญ่