องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน มีรายงานพบเด็กที่ป่วยเป็นโรค “ตับอักเสบปริศนา” เกือบ 300 รายใน 20 ประเทศทั่วโลกแล้ว ส่วนใหญ่พบในยุโรป และบางส่วนพบในทวีปอเมริกา แปซิฟิกตะวันตก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะนี้ มีผู้เสียชีวิตจากตับอักเสบปริศนาแล้วอย่างน้อย 1 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลกกำลังเร่งตรวจสอบการเพิ่มขึ้นอย่างลึกลับของเด็กที่ป่วยด้วยโรคตับอักเสบปริศนา
อินโดนีเซีย ยืนยันพบเด็ก 3 คน เสียชีวิตจากตับอักเสบปริศนา
ญี่ปุ่นพบเด็กป่วย “ตับอักเสบปริศนา” เคสแรกของเอเชีย หลังพบใน 12 ประเทศ
โรคตับอักเสบรุนแรงที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ตัวนี้ พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีที่สกอตแลนด์ ขณะนี้เฉพาะในสหราชอาณาจักร พบเด็กป่วยตับอักเสบปริศนามากกว่า 140 ราย ส่วนใหญ่มีอาการตับอักเสบเล็กน้อย แต่มี 10 คนที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ
“แอลกอฮอล์ “สาเหตุหลักที่ทำให้ตับและตับอ่อนเกิดภาวะอักเสบ
เด็กที่ป่วยด้วยโรคตับอักเสบปริศนามักมีอาการเริ่มต้นด้วยการอาเจียนและท้องร่วง ตามด้วยตัวเหลือง ตาเหลือง หรือที่เรียกว่าดีซ่าน
ทั้งนี้ ตรวจไม่พบไวรัสตับอักเสบ A, B, C, D และ E ซึ่งก่อโรคตับอักเสบทั่วไปในเด็กคนใดคนหนึ่งเลย และยังคงไม่พบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่แน่ชัด แต่ปัจจุบัน โรคนี้ยังไม่ถือว่าเป็นโรคที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สาเหตุของตับอักเสบปริศนานี้อาจเกิดจาก “ไวรัสอะดีโน (Adenovirus)” ไวรัสที่พบได้ทั่วไปที่มักเป็นสาเหตุของโรคหวัด หรือท้องร่วง อะดีโนไวรัสมี 50 ชนิดที่แตกต่างกัน แต่ไม่ค่อยพบว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบในเด็กที่มีสุขภาพดี
โดยนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไวรัสอะดีโนนี้ถูก “กดข่ม” ไว้ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 แต่ในช่วงนี้เริ่มฟื้นตัวกลับมา และมีสัญญาณการระบาดที่สูงกว่าช่วงเวลาปกติด้วย
ในเด็กที่ป่วยตับอักเสบปริศนาในสหราชอาณาจักร พบว่า 3 ใน 4 ตรวจพบไวรัสอะดีโน และพบไวรัสอะดีโนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “F41” ในเลือดของเด็กเหล่านั้น มีรายงานว่า พบไวรัสอะดีโนตัวเดียวกันนี้ในเด็ก 9 คนที่เป็นโรคตับอักเสบปริศนาในสหรัฐฯ เช่นกัน
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกำลังตรวจสอบสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้ เช่น การเกิดขึ้นของไวรัสอะดีโนสายพันธุ์ใหม่ ผลพวงจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือทั้งสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน
“ในขณะที่ไวรัสอะดีโนถือเป็นสมมติฐานที่เป็นไปได้ แต่การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไปสำหรับสาเหตุของโรคนี้” WHO กล่าว
เรียบเรียงจาก BBC
ภาพจาก Shutterstock
คลิปวงจรปิดผู้คุมพานักโทษหลบหนีจากเรือนจำสหรัฐฯ คาดมีความสัมพันธ์กัน