เมื่อวานนี้ (8 มิ.ย.) นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ (NOAA) เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ เอล นีโญ (El Nino) ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิก และคาดว่าจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นในฤดูหนาวนี้
เอลนีโญเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่อุ่นกว่าค่าเฉลี่ยในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยทุก ๆ 2-7 ปี
เอลนีโญสามารถก่อให้เกิดผลกระทบได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความแรงของปรากฏการณ์ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อฝนตกหนักและภัยแล้งในบางพื้นที่ทั่วโลก
มิเชลล์ ลอเรอซ์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศของศูนย์พยากรณ์อากาศกล่าวว่า “เอลนีโญสามารถก่อให้เกิดผลกระทบได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความแรงของปรากฏการณ์ เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อฝนตกหนักและภัยแล้งในบางพื้นที่ทั่วโลก”
เธอเสริมว่า “เอลนีโญอาจนำไปสู่การเกิดอุณหภูมิสูงทุบสถิติใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ประสบกับอุณหภูมิที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอยู่แล้ว”
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญอาจทำให้ปี 2024 กลายเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา และกังวลว่า สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นจากปรากฏการณ์นี้ อาจทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้รายงานยังระบุด้วยว่า ปรากฏการณ์นี้จะยังส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโลก ซึ่งอาจทำให้ออสเตรเลียเผชิญกับความแห้งแล้ง และตอนใต้ของสหรัฐฯ เผชิญกับฝนตกหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจทำให้ฤดูมรสุมของอินเดียอ่อนกำลังลงด้วย
ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์นี้จะดำเนินต่อไปจนถึงช่วงฤดูไม้ผลิหน้า หลังจากนั้นผลกระทบต่าง ๆ จะค่อย ๆ บรรเทาลง
จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ระบุว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญ เกิดจากกระแสลมที่มีกำลังอ่อน และเปลี่ยนทิศทางพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปฟิซิกไปด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปฟิซิก
ซึ่งการเปลี่ยนทิศทางลม ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังทวีปอเมริกาใต้แทน และทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลียขาดแคลนฝน และเกิดความแห้งแล้ง ขณะที่ชายฝั่งของทวีปอเมริกาใต้จะกลับกัน โดยพื้นที่ดังกล่าวจะมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น
เรียบเรียงจาก NOAA
ภาพจาก AFP