นักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศ เจมส์ เว็บบ์ (JWST) ของนาซา ตรวจดูบริเวณขอบนอกของกาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกบริเวณนี้ว่า “กาแล็กซีด้านนอกสุด” เนื่องจากอยู่ห่างจากใจกลางกาแล็กซีมากกว่า 58,000 ปีแสง ขณะที่โลกอยู่ห่างจากใจกลางกาแล็กซีประมาณ 26,000 ปีแสง
ทีมนักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องอินฟราเรดใกล้ (NIRCam) ของเว็บบ์และกล้องอินฟราเรดกลาง (MIRI) เพื่อถ่ายภาพบริเวณภายในเมฆโมเลกุล 2 กลุ่มที่เรียกว่าเมฆไดเจล 1 (Digel 1) และไดเจล 2 (Digel 2) ด้วยความละเอียดที่คมชัด
ข้อมูลของเว็บบ์สามารถแยกพื้นที่เหล่านี้ซึ่งเป็นที่อยู่ของกระจุกดาวที่กำลังก่อตัวได้อย่างละเอียดแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน รายละเอียดของข้อมูลนี้รวมถึงส่วนประกอบของกระจุกดาว เช่น ดาวฤกษ์อายุน้อยมาก กระแสลมและไอพ่น และโครงสร้างเนบิวลาที่มีลักษณะเฉพาะ
ตรวจหวยงวดนี้ - ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 กันยายน 2567 ลอตเตอรี่ 16/9/67
ตรวจผลออกรางวัลสลากออมสินพิเศษ 1 ปี งวดวันที่ 16 กันยายน 2567
อุตุฯ เตือนฉบับที่ 8 กทม.-65 จว. ฝนตกหนักถึงหนักมาก
การสังเกตการณ์ของเว็บบ์ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาการก่อตัวของดวงดาวในขอบนอกของทางช้างเผือกได้อย่างละเอียดเท่ากับการสังเกตการณ์การก่อตัวของดวงดาวในบริเวณดวงอาทิตย์ของเราเอง
อิซึมิ นัตสึโกะ จากมหาวิทยาลัยกิฟุและหอดูดาวแห่งชาติของญี่ปุ่น หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า “ในอดีต เรารู้เกี่ยวกับบริเวณการก่อตัวของดวงดาวเหล่านี้แต่ไม่สามารถเจาะลึกถึงคุณสมบัติของพวกมันได้”
เธอเสริมว่า “ข้อมูลจากเว็บบ์สร้างขึ้นจากสิ่งที่เราได้รวบรวมมาเป็นระยะ ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการสังเกตการณ์ก่อนหน้านี้ด้วยกล้องโทรทรรศน์และหอดูดาวต่าง ๆ จนเราได้ภาพที่ทรงพลังและน่าประทับใจของเมฆโมเลกุลเหล่านี้ ในกรณีของเมฆไดเจล 2 ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็นการก่อตัวของดวงดาวที่กระตือรือร้นและไอพ่นที่น่าทึ่งเช่นนี้”
แม้ว่าเมฆไดเจลจะอยู่ในกาแล็กซีของเรา แต่ก็มีธาตุที่หนักกว่าไฮโดรเจนและฮีเลียมค่อนข้างน้อย องค์ประกอบนี้ทำให้พวกมันคล้ายกับกาแล็กซีแคระ (Dwarf Galaxy) และทางช้างเผือกของเราในยุคแรก ดังนั้น ทีมวิจัยจึงใช้โอกาสนี้ในการจับภาพกิจกรรมที่เกิดขึ้นในกลุ่มดาวฤกษ์อายุน้อย 4 กลุ่มภายในไดเจล 1 และไดเจล 2 ได้แก่ 1A, 1B, 2N และ 2S
สำหรับกลุ่มดาวฤกษ์ 2S นั้น เว็บบ์สามารถจับภาพกลุ่มดาวหลักที่มีดาวฤกษ์อายุน้อยที่เพิ่งก่อตัวได้ พื้นที่หนาแน่นนี้ค่อนข้างมีการเคลื่อนไหว เนื่องจากดาวฤกษ์หลายดวงปล่อยไอพ่นสสารออกไปตามขั้วของดาวฤกษ์
ไมค์ เรสเลอร์ จากห้องปฏิบัติการขับเคลื่อนไอพ่นของนาซา หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า “เราทราบจากการศึกษาบริเวณอื่น ๆ ใกล้เคียงจุดที่เกิดดาวฤกษ์ว่า เมื่อดาวฤกษ์ก่อตัวขึ้นในช่วงเริ่มแรก ดาวฤกษ์เหล่านี้จะเริ่มปล่อยไอพ่นสสารออกไปที่ขั้วของดาวฤกษ์”
เขาเสริมว่า “สิ่งที่น่าสนใจและน่าตื่นตาสำหรับผมจากข้อมูลของเว็บบ์ก็คือ มีไอพ่นจำนวนมากพุ่งออกไปในทิศทางต่าง ๆ จากกระจุกดาวเหล่านี้ มันเหมือนกับประทัดขนาดเล็กที่คุณจะเห็นสิ่งต่าง ๆ พุ่งไปมา”
ภาพล่าสุดของเว็บบ์นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการวิจัย เพราะทีมวิจัยตั้งใจที่จะศึกษาพื้นที่บริเวณนี้ของทางช้างเผือกอีกครั้ง เพื่อค้นหาคำตอบสำหรับปริศนาต่าง ๆ ในปัจจุบัน รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของดาวฤกษ์ที่มีมวลต่างกันภายในกระจุกดาวของกาแล็กซีชั้นนอกสุด
การศึกษานี้จะช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจว่า สภาพแวดล้อมเฉพาะเจาะจงสามารถส่งผลต่อดาวฤกษ์ประเภทต่าง ๆ ได้อย่างไรในระหว่างการก่อตัวของดาว
อิซึมิกล่าวว่า “ฉันสนใจที่จะศึกษาต่อไปว่า การก่อตัวของดาวเกิดขึ้นได้อย่างไรในบริเวณเหล่านี้ โดยการรวมข้อมูลจากหอสังเกตการณ์และกล้องโทรทรรศน์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เราจะสามารถตรวจสอบแต่ละขั้นตอนในกระบวนการวิวัฒนาการได้”
เธอบอกว่า “นอกจากนี้ เรายังวางแผนที่จะตรวจสอบดิสก์รอบดาวฤกษ์ภายในกาแล็กซีชั้นนอกสุดด้วย เรายังคงไม่ทราบว่า เหตุใดอายุขัยของพวกมันจึงสั้นกว่าดาวฤกษ์ที่เกิดในบริเวณที่อยู่ใกล้เรา และแน่นอนว่า ฉันอยากเข้าใจจลนศาสตร์ของไอพ่นที่เราตรวจพบใน 2S”
แม้ว่าเรื่องราวของการก่อตัวของดาวฤกษ์จะมีความซับซ้อนและบางเรื่องยังคงเต็มไปด้วยความลึกลับ แต่เว็บบ์กำลังรวบรวมเบาะแสและช่วยให้นักดาราศาสตร์ไขปริศนาที่ซับซ้อนนี้
เรียบเรียงจาก NASA