กองทัพอาระกัน หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยที่ทรงอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งซึ่งต่อสู้กับกองทัพเมียนมา ออกมาประกาศว่าสามารถยึดฐานทัพแห่งสุดท้ายในเมืองหม่องดอว์ (Maungdaw) ทางตะวันตกของเมียนมาได้แล้ว
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้กองทัพสามารถควบคุมชายแดนเมียนมาด้านที่ติดกับบังกลาเทศซึ่งมีความยาวกว่า 271 กิโลเมตรได้อย่างสมบูรณ์ ให้กลุ่มสามารถควบคุมพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ได้สำเร็จ และถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการพยายามปกครองตนเองในพื้นที่ดังกล่าว
รัฐยะไข่เป็นหนึ่งจุดศูนย์กลางของสงครามกลางเมืองทั่วประเทศเมียนมาที่ดำเนินมานับตั้งแต่มีการรัฐประหาร
ข่าย ทูข่า โฆษกกองทัพอาระกัน กล่าวว่า กลุ่มของเขายึดฐานทัพที่เหลืออยู่แห่งสุดท้ายในเมืองหม่องดอว์ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. โดยสามารถจับกุม พลจัตวา ทูเรน ตุน ผู้บัญชาการฐานทัพดังกล่าวได้ขณะพยายามหลบหนี
ทั้งนี้ รัฐบาลทหารเมียนมาไม่ได้ออกมายอมรับหรือปฏิเสธคำกล่าวอ้างของกองทัพอาระกัน
เมืองหม่องดอว์เป็นเป้าหมายการโจมตีของกองทัพอาระกันมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. โดยตั้งแต่เดือน พ.ย. 2023 กองทัพอาระกันเข้ายึดครองเมือง 11 แห่งจากทั้งหมด 17 เมืองในรัฐยะไข่ รวมถึงเมืองหนึ่งในรัฐชินที่อยู่ใกล้เคียง ยึดฐานทัพทหารได้มากกว่า 30 แห่ง ยกเว้นฐานทัพทางตะวันตก ซึ่งควบคุมยะไข่และพื้นที่ทางตอนใต้ของรัฐชินที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงน่านน้ำอาณาเขตของประเทศในอ่าวเบงกอล
สำหรับพรมแดนระหว่างเมียนมาและบังกลาเทศนั้นทอดยาวจากดินแดนทางบกไปจนถึงแม่น้ำนาฟและนอกชายฝั่งในอ่าวเบงกอล กองทัพอาระกันกล่าวเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ว่าได้สั่งระงับการขนส่งข้ามแม่น้ำนาฟ เนื่องจากตำรวจและชาวมุสลิมในพื้นที่ที่สังกัดกองทัพกำลังพยายามหลบหนีโดยเรือไปยังบังกลาเทศ
ในช่วงสงครามที่ผ่านมา กองทัพอาระกันถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยึดเมืองบู้ตี้ดองในช่วงกลางเดือน พ.ค. ซึ่งถูกกล่าวหาว่าบังคับให้ชาวโรฮิงญาประมาณ 200,000 คนออกจากพื้นที่ จากนั้นยังวางเพลิงเผาอาคารส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังถูกกล่าวหาว่าโจมตีพลเรือนโรฮิงญาที่หลบหนีการสู้รบในเมืองหม่องดอว์ในเดือน ส.ค. ด้วย
เรียบเรียงจาก CNN