จากกรณีที่มีคนงานเหมืองผิดกฎหมายจำนวนมากติดอยู่ใต้เหมืองทองคำร้างบัฟเฟลส์ฟอนทีน ในเมืองสติลฟอนทีน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศแอฟริกาใต้นั้น ล่าสุด ทางการสามารถเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตออกมาได้แล้ว 78 ราย และช่วยผู้รอดชีวิตออกมาได้อย่างน้อย 166 คนแล้ว
คนงานเหมืองเหล่านี้เป็นแรงงานเถื่อนที่ลักลอบลงไปขุดหาสายแร่จากเหมืองร้างดังกล่าวซึ่งลึกกว่า 2 กม. แต่ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2024 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัดทางเข้าออกเหมืองรวมถึงเสบียงอาหาร เพื่อบีบให้แรงงานเหล่านี้ออกมามอบตัว
แต่แรงงานไม่ยอมออกมา ตำรวจจึงทิ้งพวกเขาไว้อย่างนั้น ทำให้แรงงานขาดอาหารและน้ำจนบางส่วนเสียชีวิต
กระทั่งเดือน ธ.ค. 2024 ศาลมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมอบอาหารและน้ำให้คนงานเหมือง และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีคำสั่งให้ดำเนินการช่วยเหลือนำแรงงานเหล่านี้ออกมา
ในบรรดาผู้รอดชีวิต หลายคนผอมแห้งและมีอาการสับสน โดยเชื่อว่าคนงานอีกหลายร้อยคนยังคงติดอยู่ใต้เหมือง
จำนวนผู้เสียชีวิตทำให้การปราบปรามเหมืองสติลฟอนเทนกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้คนงานเหมืองเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์แอฟริกาใต้ เรื่องนี้ทำให้ตำรวจและทางการแอฟริกาใต้ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม
สหพันธ์สหภาพแรงงานแอฟริกาใต้ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ว่า “คนงานเหมืองเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนงานไร้เอกสารและสิ้นหวังจากโมซัมบิกและประเทศอื่น ๆ ในแอฟริกาใต้ ถูกปล่อยให้เสียชีวิตจากความประมาทเลินเล่อของรัฐที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์”
อย่างไรก็ตาม อัตเลนดา มาเธ โฆษกตำรวจแอฟริกาใต้ กล่าวว่า “หน้าที่ของตำรวจคือการปราบปรามอาชญากรรม และนั่นคือสิ่งที่เราได้ทำมาตลอด การที่ตำรวจจัดหาอาหาร น้ำ และสิ่งของจำเป็นให้แก่คนงานเหมืองเถื่อนเหล่านี้ ไม่ต่างไรกับการปล่อยให้การก่ออาชญากรรมเกิดขึ้นได้”
ตำรวจกล่าวว่า ผู้รอดชีวิตทั้ง 166 คนที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาได้นั้นถูกจับกุมทันที และถูกตั้งข้อหาอาญาหลายกระทง เช่น การเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การบุกรุก และการทำเหมืองโดยผิดกฎหมาย ไม่มีใครต้องเข้าโรงพยาบาลและทุกคนถูกควบคุมตัวโดยตำรวจ
มซูกิซี จาม นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม บอกว่า “หากคุณออกมาและสามารถเดินได้ พวกเขาจะพาคุณไปที่ห้องขังโดยตรง”
มาเธอบอกว่า จากศพที่กู้มาได้ มีเพียง 2 ร่างเท่านั้นที่ได้รับการระบุตัวตนและมีครอบครัวมารับไปแล้ว
วันที่ 15 ม.ค. ความพยายามกู้ภัยดำเนินไปเป็นวันที่ 3 โดยมีการหย่อนกรงโลหะทรงกระบอกสีแดงลงไปในเหมือง เพื่อนำผู้รอดชีวิตและศพออกมา กรงนี้สามารถบรรจุคนหรือศพได้ประมาณสิบกว่าศพในคราวเดียว
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า ในวันเดียวกันนั้นนตำรวจได้ประกาศยุติปฏิบัติการกู้ภัยแล้ว และเชื่อว่าได้นำผู้รอดชีวิตทั้งหมดออกมาแล้ว และกู้ศพทั้งหมดจากเหมืองร้างได้แล้ว
ประกาศที่น่าประหลาดใจนี้เกิดขึ้น 1 วันหลังจากตำรวจกล่าวว่าปฏิบัติการกู้ภัยน่าจะกินเวลาไปจนถึงอย่างน้อยสัปดาห์หน้า ทำให้เกิดความคลางแคลงว่า ตำรวจช่วยคนงานเหมืองทั้งหมดออกมาได้แล้วจริงหรือไม่
ทั้งนี้ การทำเหมืองผิดกฎหมายทำให้รัฐบาลแอฟริกาใต้และอุตสาหกรรมโลหะมีค่าสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี
กเวเด มันตาเช รัฐมนตรีกระทรวงเหมืองแร่แอฟริกาใต้ กล่าวว่า “มันเป็นความผิดทางอาญา เป็นการโจมตีเศรษฐกิจของเราโดยชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่”
ตำรวจกล่าวว่า คนงานเหมืองผิดกฎหมาย 1,576 คนออกมาจากเหมืองด้วยตนเองก่อนที่ปฏิบัติการกู้ภัยจะเริ่มต้นขึ้น พวกเขาทั้งหมดถูกจับกุม และ 121 คนในจำนวนนี้ถูกเนรเทศกลับประเทศบ้านเกิดแล้ว ส่วนใหญ่มาจากโมซัมบิก มีผู้อพยพอีกจำนวนมากมาจากซิมบับเวและเลโซโท ตำรวจระบุว่ามีเพียง 21 คนเท่านั้นที่เป็นชาวแอฟริกาใต้
ทางการแอฟริกาใต้พยายามปราบปรามแรงงานเหมืองที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเรียกกันว่า “ซามา ซามาส” ซึ่งในภาษาซูลูแปลว่า “นักต้มตุ๋น” มานานแล้ว โดยมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรง มักมีอาวุธ และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาชญากร
เรียบเรียงจาก Al Jazeera / Reuters