ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า “การเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะเริ่มขึ้นในทันที” หลังจากการโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน อย่างยาวนานเมื่อเช้าวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น
การโทรศัพท์ครั้งนี้ถือเป็นการสนทนาครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีทั้งสองนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. และเกิดขึ้นหลังจากไม่มีการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและรัฐบาลเครมลินมาเป็นเวลานาน
ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่า “เราได้หารือเกี่ยวกับยูเครน ตะวันออกกลาง พลังงาน ปัญญาประดิษฐ์ พลังของดอลลาร์ และหัวข้ออื่น ๆ อีกมากมาย”
รัฐบาลรัสเซียกล่าวว่า ในการสนทนานี้ ทรัมป์และปูตินพูดคุยกันนานถึงเกือบ 90 นาที
ทรัมป์ส่งสัญญาณมาหลายสัปดาห์ว่าเขาต้องการพูดคุยกับปูติน เพื่อดำเนินการแก้ไขความขัดแย้งในยูเครน “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!”
เขาไม่ได้กำหนดวันที่จะพบกับปูติน แต่ต่อมาบอกกับนักข่าวที่ทำเนียบขาวว่า “เราจะพบกันที่ซาอุดีอาระเบีย”
เขาเสริมว่า “เราตกลงที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเยือนประเทศของกันและกัน พวกเรายังตกลงกันที่จะให้ทีมงานของเราเริ่มการเจรจาในทันที และเราจะเริ่มต้นด้วยการโทรศัพท์ไปหาประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เพื่อแจ้งการสนทนาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมจะต้องทำทันที”
ทรัมป์ได้คุยกับเซเลนสกีในช่วงเที่ยงวัน ไม่นานหลังจากวางสายจากปูติน
ต่อมา ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนกล่าวว่า เขาได้พูดคุยกับทรัมป์เกี่ยวกับ “สันติภาพที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้”
เซเลนสกีกล่าวว่าการโทรศัพท์ระหว่างเขากับทรัมป์เป็น “การสนทนาที่มีความหมาย” เกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ โดยพูดคุยกันนานราว 1 ชั่วโมง
เซเลนสกีโพสต์ว่า “ไม่มีใครต้องการสันติภาพมากกว่ายูเครน ร่วมกับสหรัฐฯ เรากำลังกำหนดขั้นตอนต่อไปเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของรัสเซียและรับรองสันติภาพที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้”
ผู้นำยูเครนกล่าวเสริมว่า “เราตกลงที่จะรักษาการติดต่อต่อไปและวางแผนการประชุมที่จะเกิดขึ้น”
ในส่วนของการที่ทรัมป์และปูตินจะเดินทางเยือนประเทศของอีกฝ่ายนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนสุดท้ายที่เยือนรัสเซียคือ บารัก โอบามา ในปี 2013 โดยไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ส่วนปูตินเยือนสหรัฐฯ ครั้งสุดท้ายในปี 2015 เพื่อเข้าร่วมการเจรจาของสหประชาชาติ
ทั้งนี้ ทรัมป์และ พีต เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยังส่งสัญญาณชัดเจนว่า การที่ยูเครนจะเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรนาโต (NATO) นั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ทรัมป์บอกกับนักข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่ยูเครนจะได้พรมแดนทั้งหมดเหมือนก่อนปี 2014 กลับคืนมา แต่เขากล่าวว่า “ดินแดนบางส่วนจะกลับมา”
ประธานาธิบดีกล่าวว่า เขาเห็นด้วยกับเฮกเซธซึ่งกล่าวในการประชุมสุดยอดนาโตว่า ไม่มีความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะเข้าร่วมพันธมิตรทางการทหาร
“ผมคิดว่านั่นอาจเป็นเรื่องจริง” ทรัมป์กล่าว
เฮกเซธยังระบุว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของยุโรปกับยูเครนเป็นอันดับแรก ๆ อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ย้ายความสนใจไปที่การป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ เอง และการรับมือกับอิทธิพลจีน
เฮกเซธมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมกับกลุ่มผู้สนับสนุนการช่วยเหลือยูเครน โดยได้กล่าวก่อนร่วมประชุมว่า การดูแลความมั่นคงในยูเครนหลังสิ้นสุดสงคราม ควรเป็นหน้าที่ของทหารจากชาติยุโรปเอง และกองทัพสหรัฐฯ จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ขณะเดียวกัน สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษสหรัฐฯ แสดงความชื่นชม “มิตรภาพอันยิ่งใหญ่” ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีปูติน และมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย ที่เป็นปัจจัยช่วยให้มีการปล่อยตัว มาร์ก โฟเกิล ครูชาวอเมริกันที่ถูกทางการรัสเซียควบคุมตัวไว้
วิตคอฟฟ์บอกว่า ฝ่ายรัสเซียให้ความช่วยเหลือและตอบรับอย่างดีในการคืนอิสรภาพให้กับโฟเกิลเมื่อคืนวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา และให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่น่าจะดีขึ้นต่อไปในอนาคตระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศซึ่งอาจเป็นเรื่องที่มีความหมายต่อโลกโดยรวม ในกรณีปัญหาความขัดแย้งและประเด็นอื่น ๆ ต่อไป