วันที่ 10 มี.ค. กองทัพอากาศเกาหลีใต้จัดงานแถลงชี้แจงสาเหตุอุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดผิดพลาดจนตกใส่บ้านเรือนประชาชนในเมืองโพชอน จังหวัดคย็องกี เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยพบว่า “เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนักบิน”
ตามผลการสอบสวนเบื้องต้นระบุว่า นักบินของเครื่องบินขับไล่ 2 ลำที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ได้ป้อนพิกัดเป้าหมายไม่ถูกต้อง และละเลยขั้นตอน 3 ขั้นตอนในการยืนยันเป้าหมายอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการหน่วยยังล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่บังคับบัญชาและควบคุมดูแลอย่างถูกต้องสำหรับการฝึกซ้อมยิงระเบิดจริงจากอากาศสู่พื้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ง่าย
กองทัพอากาศเกาหลีใต้ระบุว่า เครื่องบินขับไล่ KF-16 จำนวน 2 ลำขึ้นบินจากฐานทัพอากาศกุนซานเมื่อเวลา 9.19 น. ของวันเกิดเหตุ จากนั้นเข้าสู่พื้นที่เตรียมการเมื่อเวลา 9.45 น. และทิ้งระเบิด MK-82 จำนวน 4 ลูกเมื่อเวลา 10.04 น. ในขณะนั้น เครื่องบินขับไล่ทั้งสองลำอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 1.2 กม. และความเร็วอยู่ที่ 810 กม./ชม.
เครื่องบินขับไล่ต้องทิ้งระเบิดใส่สนามยิงปืนของกองทัพ แต่พลาดตกลงมาทางใต้ของเป้าหมายประมาณ 10 กม. ทำให้พลเรือนและทหารได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน
กองทัพบอกว่า นักบินของ KF-16 ทั้งสองลำได้ทำการเตรียมตัวบินในวันที่ 5 มี.ค. และป้อนพิกัดเป้าหมายเพื่อซ้อมยิงในวันที่ 6 มี.ค. แต่เครื่องบินหมายเลข 1 ป้อนพิกัดไม่ถูกต้อง และไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบซ้ำ ส่วนเครื่องบินหมายเลข 2 ใส่พิกัดถูกต้อง แต่ไม่ได้ครอสเช็กกับเครื่องบินหมายเลข 1 ว่าตรงกันหรือไม่
กองทัพกล่าวว่า นักบินของเครื่องบินหมายเลข 1 ควรจะยืนยันเป้าหมายอีกครั้งอย่างน้อย 3 ครั้งตลอดกระบวนการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงการเตรียมการบินโดยใช้ระบบวางแผนภารกิจร่วม (JMPS), การตรวจสอบเครื่องบินก่อนขึ้นบินหลังจากโหลด DTC (ระบบควบคุมการส่งสัญญาณดิจิทัล) ลงบนเครื่องบินขับไล่ และการยืนยันด้วยสายตาของเป้าหมายที่จุดยิง แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้รับการยืนยันว่า แม้ว่าเส้นทางการบินและภูมิประเทศของพื้นที่เป้าหมายจะแตกต่างไปเล็กน้อยจากการฝึกครั้งก่อน แต่พวกเขาไม่สามารถยืนยันเป้าหมายได้อย่างแม่นยำด้วยตาของตัวเองเนื่องจากกังวลเรื่องเวลาที่เป้าหมายต้องถูกโจมตี (TOT) และพวกเขาเลือกจะรายงานว่า “เป้าหมายได้รับการยืนยัน” และทิ้งระเบิด
เป็นเรื่องน่าตกใจที่นักบินละเลยที่จะตรวจสอบสถานการณ์ เพียงเพราะพวกเขาถูกจำกัดเวลา ทั้งที่การทิ้งระเบิดไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ขณะที่นักบินของเครื่องบินหมายเลข 2 ป้อนพิกัดเป้าหมายถูกต้อง แต่เขาโฟกัสอยู่แต่กับการรักษาขบวนการบินเพื่อทิ้งระเบิดพร้อมกันกับเครื่องบินหมายเลข 1 มากเกินไป จนไม่รู้ว่าตัวเองเบี่ยงเบนไปจากพิกัดเป้าหมาย และทิ้งระเบิดพร้อมกันตามสัญญาณจากเครื่องบินหมายเลข 1
นอกจากนี้ยังพบว่าคำสั่งและการดูแลของผู้บังคับบัญชาหน่วยไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง
กองทัพอากาศชี้แจงว่า “ผู้บังคับบัญชาฝูงบิน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยที่เกี่ยวข้อง จะต้องปฏิบัติหน้าที่การบังคับบัญชาและการจัดการโดยรวม เช่น ออกคำสั่งด้านความปลอดภัยร่วมกับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา”
กองทัพเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบแผนการฝึกและแผนการยิงจริงยังไม่เพียงพอ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยได้รับมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาของกองพันจัดการ”
ในการดำเนินการดังกล่าว กองทัพชี้ให้เห็นว่า “ผู้บังคับบัญชากองพันควรตรวจสอบและควบคุมดูแลสถานะความพร้อมบินของนักบินอย่างจริงจัง โดยพิจารณาว่าเป็นการฝึกยิงปืนร่วมกันและแบบผสมผสานที่สนามจริง แต่เขากลับเน้นย้ำเฉพาะประเด็นด้านความปลอดภัยทั่วไปเท่านั้น และมีการสั่งการและควบคุมดูแลภารกิจภาคสนามอย่างละเอียดที่ไม่เพียงพอ”
กองทัพอากาศระบุว่า ผู้บังคับบัญชาหน่วยไม่ได้ระบุปัญหาในการเตรียมการยิงอย่างถูกต้อง โดยไม่มีการตรวจสอบเครื่องบันทึกข้อมูลการบินของการจัดเตรียมภารกิจ, ไม่ได้ตรวจสอบและกำกับดูแลสถานะความพร้อมบินโดยละเอียด เช่น ขั้นตอนการยืนยันสรุปเป้าหมาย และไม่ได้รายงานและทบทวนแผนการทำงานของนักบินภารกิจล่วงหน้า
ในส่วนของการควบคุมน่านฟ้าโดยควบคุมกลางกองทัพอากาศ (MCRC) และการอนุมัติขั้นสุดท้ายของผู้ควบคุมการโจมตี (JTAC) ในการปล่อยระเบิดนั้น กองทัพยืนยันว่า ดำเนินการตามขั้นตอน
กองทัพอากาศระบุว่า “ในการซ้อมนี้ ภารกิจที่มอบหมายให้ MCRC ปฏิบัติคือการชี้นำไปยังจุดควบคุม การควบคุมน่านฟ้า การแยกการจราจรทางอากาศโดยรอบ และการป้องกันการละเมิดพื้นที่ห้ามบิน/เขตหวงห้าม ซึ่งดำเนินการตามปกติ”
กองทัพอากาศกล่าวเสริมว่า “หลังจากเครื่องบินที่ปฏิบัติภารกิจออกจากจุดควบคุมแล้ว เครื่องบินจะอยู่ภายใต้การควบคุมของ JTAC ภายในระยะยิง ไม่ใช่ MCRC”
กองทัพเสริมว่า “JTAC อนุมัติการยิงเมื่อนักบินรายงาน ‘ยืนยันเป้าหมายด้วยสายตา’ หลังจากยืนยันเป้าหมายหรือเครื่องบินด้วยสายตาแล้ว และในกรณีของเหตุการณ์นี้ JTAC ได้อนุมัติตามขั้นตอน เนื่องจากนักบินรายงานว่า ยืนยันเป้าหมายด้วยสายตา”
ทั้งนี้ เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องมีการลงโทษทางวินัยหลายกรณี
ขณะเดียวกัน กองทัพอากาศได้ตัดสินใจนำระบบตรวจสอบไขว้มาใช้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุเช่นนี้ ไม่ให้นักบินป้อนเป้าหมายผิดและทำให้เครื่องบินยิงหรือทิ้งระเบิดพลาดอีก
กองทัพอากาศกล่าวว่า “นอกเหนือจากขั้นตอนการยืนยันพิกัดเป้าหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้ว เรายังจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับขั้นตอนการยืนยันพิกัดเป้าหมายซ้ำในสนาม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการโจมตีผิดพลาดอันเนื่องมาจากการป้อนพิกัดเป้าหมายไม่ถูกต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก เช่น การเพิ่มขั้นตอนการยืนยันพิกัดเป้าหมายร่วมกันระหว่างกลุ่มก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการโจมตีขั้นสุดท้าย และขั้นตอนการยืนยันการประสานงานภารกิจและพิกัดเป้าหมายโดยกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ควบคุมภาคสนามเฉพาะในศูนย์ฝึกภาคสนาม”
เรียบเรียงจาก Yonhap