การเลือกตั้งแคนาดาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ผลออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า พรรคเสรีนิยม (Liberal) ของนายกรัฐมนตรี “มาร์ก คาร์นีย์” เป็นฝ่ายคว้าชัย ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำประเทศไว้ได้ ทำให้เป็นชัยชนะครั้งที่ 4 ของพรรคเสรีนิยมในศึกเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม พรรคเสรีนิยมจำเป็นต้องได้รับที่นั่งในสภา 172 ที่นั่งจาก 343 ที่นั่ง เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้โดยไม่ต้องพึ่งพรรคการเมืองที่เล็กกว่าพรรคอื่น
แต่ขณะนี้คะแนนเสียงที่ได้มาทำให้พรรคเสรีนิยมมีที่นั่งอยู่ 167 ที่นั่งเท่านั้น ยังขาดอยู่อีกเล็กน้อย ส่วนคู่แข่งอย่างพรรคอนุรักษ์นิยมขณะนี้มีที่นั่งในสภา 145 ที่นั่ง
หลังผลอย่างไม่เป็นทางการออกมา คาร์นีย์ได้กล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะ โดยมีบางช่วงบางตอนที่กล่าวถึงความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ซึ่งย่ำแย่ลงอย่างมากนับตั้งแต่สหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษี
คาร์นีย์กล่าวว่า “ความสัมพันธ์เก่าก่อนของเรากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ยึดโยงกับการบูรณาการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้สิ้นสุดลงแล้ว ... ระบบการค้าโลกที่เปิดกว้าง ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นฐานยึด และเป็นระบบที่แคนาดาพึ่งพามาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบที่แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ช่วยนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศของเรามานานหลายทศวรรษ ได้สิ้นสุดลงแล้ว”
เขาเสริมว่า “นี่คือโศกนาฏกรรม แต่ก็คือความเป็นจริงใหม่ของเราเช่นกัน” และกล่าวว่า ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ จะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายและแคนาดาอาจต้องเสียสละอะไรหลายอย่าง
“อเมริกาต้องการดินแดน ทรัพยากร น้ำ และประเทศของเรา” คาร์นีย์กล่าว “นี่ไม่ใช่ภัยคุกคามแบบไร้เหตุผล ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพยายามทำลายเราเพื่อให้อเมริกาสามารถครอบครองเรา ซึ่งนั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้น” คาร์นีย์กล่าว
ด้าน ชาชี เคิร์ล ประธานของสถาบันแองกัส รีด บริษัทสำรวจความคิดเห็น กล่าวว่า ชัยชนะของพรรคเสรีนิยมนั้นมาจากปัจจัย 3 ประการ ประกอบด้วย ปัจจัยจากฝ่ายที่ไม่ต้องการพรรคอนุรักษ์นิยม ปัจจัยด้านภาษีศุลกากรของทรัมป์ และปัจจัยเรื่องการลาออกของอดีตนายกฯ จัสติน ทรูโด ที่คะแนนนิยมตกต่ำลง
คาร์นีย์ให้คำมั่นว่าจะใช้วิธีที่เข้มงวดในการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีนำเข้า และกล่าวว่า แคนาดาจะต้องใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ซึ่งได้ใจกลุ่มผู้รักชาติที่ไม่พอใจทรัมป์
คาร์นีย์ย้ำคำกล่าวที่เขาเคยพูดไว้ระหว่างการหาเสียงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก “เราผ่านพ้นความตกตะลึงจากการทรยศของอเมริกามาแล้ว แต่เราไม่ควรลืมบทเรียนที่ได้รับ เราต้องดูแลตัวเอง และเหนือสิ่งอื่นใด เราต้องดูแลซึ่งกันและกัน”
คาร์นีย์เป็นผู้นำกระแสต่อต้านทรัมป์นับตั้งแต่ชนะการเลือกหัวหน้าพรรคอย่างถล่มทลายหลังจากทรูโดลาออก เขาได้รวบรวมเสียงผู้สนับสนุนเพื่อต่อต้านคำขู่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51
สำหรับคาร์นีย์ เป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารกลางวัย 60 ปี ไม่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาก่อนเลยก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ผลงานด้านการเงินตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาของเขาทำให้เขาได้รับการสนับสนุนค่อนข้างมาก
คาร์นีย์สามารถพารัฐบาลผ่านพ้นวิกฤตการณ์ระดับโลกครั้งใหญ่และช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วน รวมไปถึงการผลักดันเศรษฐกิจของแคนาดาผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 ในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งอังกฤษ เขาช่วยให้สหราชอาณาจักรเดินหน้าต่อไปได้ในสถานการณ์ Brexit
แนวคิดที่ว่าแคนาดาจำเป็นต้องสร้างเส้นทางของตนเองนอกเหนือจากอิทธิพลของสหรัฐฯ ถือเป็นแก่นกลางของนโยบายของคาร์นีย์ตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งนายกฯ
ตลอดการหาเสียง คาร์นีย์เสนอตัวเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์ซึ่งสามารถดูแลเศรษฐกิจของแคนาดาให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนอย่างรุนแรงนี้ได้
ทั้นี้ คาร์นีย์ไม่ได้ตัดเรื่องการเจรจากับทรัมป์ทิ้ง ในการกล่าวสุนทรพจน์ชัยชนะ คาร์นีย์กล่าวว่า ถ้าเขาได้พูดคคุยกับทรัมป์ เขาจะหารือถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในอนาคตระหว่างประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยทั้งสอง
ปิแอร์ ปอยลิเวียร์ หัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคอนุรักษ์นิยมของเขาจะทำงานร่วมกับคาร์นีย์และพรรคการเมืองอื่น ๆ ในการ “ปกป้องผลประโยชน์ของแคนาดา” และ “ปกป้องอำนาจอธิปไตยของเรา”
เขาบอกว่า “เราจะให้ความสำคัญกับแคนาดาเป็นอันดับแรกเสมอ เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับภาษีศุลกากรและภัยคุกคามอื่น ๆ จากประธานาธิบดีทรัมป์”