วันนี้ 24 ส.ค. 2563 พล.ร.อ. สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ แถลงได้แจงกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่า กองทัพเรือได้ชี้แจงงบประมาณ ต่ออนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียนเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2563 หลังจากนั้นได้มีอนุกรรมการบางคนได้นำข้อมูลมาแถลงในบางประเด็น ซึ่งเป็นข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เรื่องนี้อาจจะมีการหวังผลทางการเมือง เพื่อให้มีผลกระทบต่อรัฐบาล ทำให้กองทัพเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความจำเป็นต้องนำข้อมูลที่แท้จริงมาเสนอต่อ ประชาชนได้รับทราบ และเข้าใจที่ถูกต้อง
ส.ส.พปชร. เถียง "ยุทธพงศ์" แทน ทร. ยัน มีเอกสารจัดซื้อเรือดำน้ำ
โอด จัดซื้อเรือดำน้ำ ถูกโยงการเมืองทุกครั้ง
เรือดำน้ำเป็นอาวุธทางยุทธ์ศาสตร์ที่มีความสำคัญทางทหาร เพราะต้องคุมครองรักษาผลประโยชน์ของชาติ กองทัพเรือ ได้เล็งเห็นความสำคัญในสิ่งนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ยุคต้นๆของกองทัพเรือในอดีตทุกคนคงทราบว่าเรามีเรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ ดังนั้น กองทัพเรือ จึงมีโครงการจัดหาเรือดำน้ำ เป็นไปตามแผนยุทศาสตร์ และ แผนป้องกันประเทศ หลายๆครั้งการจัดซื้อเรือดำน้ำถูกนำไปโยงเป็นประเด็นการเมืองอยู่เสมอ
โดยเมื่อปีวันที่ 1 พ.ค. 2560 พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ ในขณนั้นดำรงค์ตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ได้แถลงข่าว จัดซื้อเรือดำน้ำ จำนวน 3 ลำ จึงนำมาสู่การจัดหาเรือดำน้ำลำแรก แบบจีทูจี ณ เวลานั้นประเทศบางประเทศมี เรือดำน้ำ เข้าประจำการ 1 ถึง 2 ลำ บางประเทศก็ยังไม่มี จากวันนั้นถึงวันนี้ ประเทศมีที่เรือดำน้ำก็มีเพิ่มขึน ประเทศที่ไม่มีก็ได้จัดหาซื้อและจะเพิ่มขึ้นไปอีก สำหรับประเทศไทยได้ดำเนินการจัดซื้อเรือดำน้ำลำแรก เมื่อปี 2560 และ จะเข้าประจำการในปี 2566
ปิดทะเลจีนใต้ กระทบไทย หากไม่มี “เรือดำน้ำ”
ด้าน พล.ร.ท. เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือมีความพยายามจัดซื้อดำน้ำไปแล้วเป็นเวลาหลายปี และดำเนินการไปแล้ว ในปี 2560 ส่วนในปี 2563 ที่กำลังเกิดขึ้นนี้กองทัพเรือได้ทบทวนยุทธศาสตร์ชาติ
“ในทะเลจีนใต้ใกล้บ้านเรานั้น หมูเกาะ สแปรตลี และ หมู่เกาะพาราเซล มีหลายชาติประกาศตัวเป็นเจ้าของ มีการก่อสร้างสนามบิน สิ่งต่างเหล่านี้เป็นเหตุที่จะเกิดการปะทะ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว หากเกิดการปะทะในทะเลจีนใต้ นี่คือเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทย เส้นทางคมนาคมทั้งขาเข้าและขาออกมูลค่า 24 ล้านล้านบาท จะมีปัญหา หากเกิดเหตุการขึ้นแล้วใครจะไปคุ้มครองดูแล ซึ่งไม่มีใครนอกจากองทัพเรือ ถ้าเราไม่มีกำลังที่เข้มแข็ง หรือ กำลังที่เพียงพอผลประโยชน์ของชาติ 24 ล้านล้านบาท จะกระทบแน่นอน ประเทศ อินเดีย เริ่มมามีบทบาทในทะเลจีนใต้มากขึ้น เพราะอินเดียเคยประกาศว่าถ้าทะเลจีนใต้ถูกปิด จะกระทบต่อเอกราชของอินเดีย เราจะมั่นใจได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการปะทะ แต่ส่วนตัวนั้นเชื่อว่ามี แต่จะเมื่อไหร่ต้องประเมินกันอีกครั้ง”
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีเรือจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาลาดตระเวนค้นหาชาวโรฮิงญาในทะเลเขตประเทศไทย ในฝั่งอันดามัน จนต้องทำหนังสือประท้วงไปแล้ว อีก 7 ปีข้างหน้าเขามีศักยภาพเหนือกว่าเราจะเจรจาได้อย่างไร
ยันซื้อเรือดำน้ำ คุ้มค่าต่อเศรษฐกิจ
พล.ร.ท. เถลิงศักดิ์ ยืนยันว่าผลประโยชน์ 24 ล้านล้านทางทะเล กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำวงเงิน 22, 500 ล้านบาทชำระปี 2564 จำนวน 3,900 ล้านบาทนั้นเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ชาติทางทะเล เป็นเพียง 0.093 เปอร์เซ็นเท่านั้น และ ยืนยันว่า กองทัพเรือได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว มีความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจ และ ยุทธการความมั่นอย่างเต็มที่แล้ว
เรือดำน้ำ 2 ลำทยอยจ่าย 7 ปี
ด้าน พล.ร.ท.ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ กล่าวว่า โครงการจัดหาเรือดำน้ำ จำนวน 2 ลำ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดกาเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาท มีการจัดหาลำที่ 1 ในปีงบประมาณ 2560 มูลค่า 13,500 ล้านบาท ทยอยจ่าย 7 ปี ระหว่างปีงบประมาณ 2560 -2566
การจัดหาอีก 2 ลำในครั้งนี้ เป็นการจัดหาอย่างต่อเนื่องให้ครบ 3 ลำ ตามที่ได้รับการอนุมัติ มิใช่โครงการงบประมาณใหม่ในผูกพัน ปี 2564 แต่เป็นรายการเสริมสร้างโครงสร้างของกองทัพ ที่ผูพันธ์เริ่มใหม่ ในปีงบประมาณ 2563-2569 ระยะเวลา 7 ปี เป็นการทยอยตั้งงบรายปีภายในกรอบงบประมาณที่กองทัพเรือได้รับตามปกติ มิได้เป็นการขอรับงบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด และ รายการนี้งบได้ตราไว้ในงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2563 แล้ว
โครงการจัดหาเรือดำน้ำ 2 ลำ ทยอยจ่าย 7 ปี (2563-2569)
-งบประมาณปี 2563 วงเงิน 3,375 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2564 วงเงิน 3,925 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2565 วงเงิน 2,640 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2566 วงเงิน 2,500 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2567 วงเงิน 3,060 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3,500ล้านบาท
-งบประมาณปี 2569 วงเงิน 3,500 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 22,500 ล้านบาท
พล.ร.ท.ธีรกุล ระบุอีกว่า ปกติแล้วรายการจัดหานี้ ควรมีการลงนามในข้อตกลง และ ผุกพันธ์งบประมาณภายในปีนี้แล้ว แต่ระหว่างนั้นปีมีการแพร่ไวรัสโควิด-19 รัฐบาลจึงให้ทุกส่วยนราชการโอนคืนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชน กองทัพเรือจึงตกลงเบื้องต้นกับประเทศจีน ที่จะยังคงดำเนินต่อไป แต่กองทัพเรือ จะขอคืนงบประมาณก้อนแรก คือ งดการจ่ายเงินในปีงบประมาณ 2563 ให้กับประเทศจีนที่ตั้งไว้จำนวน 3,375 ล้านบาท ถือเป็นการชะลอโครงการ นำไปรวมเป็นงบประมาณอื่นๆ ที่กองทัพเรือปรับลดลงเพื่อขอคืนได้ และเป้นงบประมาณที่กองทัพเรือ โอนกลับไปให้รัฐบาลทั้งสิ้น 4,130 ล้านบาท
จากเหตุดังกล่าวทำให้กองทัพเรือต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดของโครงการใหม่ ส่งผลให้การลงนามในข้อตกลง จำเป็นต้องล่าช้าออกไป เพราะมีขั้นตอนของกฎหมาย และ ระเบียบอยู่หลายประการ ขณะนี้ มีข้อตกลงแบบรัฐต่อรัฐภายในเดือนก.ย. กระบวนการเป็นไปตามข้อตกลงเหมือนลำที่ 1 เมื่อปี 2560
ในปีนี้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำอยู่ ซึ่งคำขอของกองทัพเรือนั้นก็ได้กำหนด รายละเอียดของโครงการตามคำแนะนำของสำนักงบประมาณ
-งบประมาณปี 2563 วงเงิน 0 บาท (โอนงบคืนให้รัฐบาลเนื่องจากวิกฤตโควิด-19)
-งบประมาณปี 2564 วงเงิน 3,925 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2565 วงเงิน 2,640 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2566 วงเงิน 2,500 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2567 วงเงิน 3,060 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3,500ล้านบาท
-งบประมาณปี 2569 วงเงิน 3,500 ล้านบาท
-งบประมาณปี 2570 วงเงิน 3,275 ล้านบาท
ซึ่งเท่ากับว่างบประมาณปี 2565 -2569 คงเป็นไปตามร่างเดิม แล้วไปเพิ่มในงบประมาณปี 2570 วงเงิน 3,275 ล้านบาท การตั้งงบเป็นการทยอยจ่ายของกองทัพเรือ ตั้งงบประมาณโดยทั่วไป การจัดทำงบประมาณของกองทัพเรือ เป็นไปตามหลักการ ทำโดยรอบคอบ ยึดหลักความประหยัดตระหนักเงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นของงบประมาณของประเทศชาติ
ในปี 2564 กองทัพเรือมีโครงการ เสริมสร้างกำลังกองทัพเพียงโครงการเดียว คือ การจัดหาเรือลากจูงขนาดกลางจำนวน 1 ลำ กองทัพเรือต้องยอมลดงบประมาณจัดซื้อยุทโธปกรณ์หลักในลักษณะข้ามปีลง เพื่อนำงบประมาณไปจัดหา เรือดำน้ำอีก 2 ลำ เพื่อให้มีเรือดำน้ำครบ 3 ลำตามแผนการที่วางเอาไว้ ขอย้ำว่าจำนวนเงิน 22,500 ล้านบาท นั้น เป็นการทยอยจ่าย 7 ปี โดยจ่ายงบประมาณของกองทัพเรือ ตามปกติ มิได้ของบประมาณเพิ่มเติมใดๆทั้งสิ้น
กองทัพเรือ ไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน
ขณะที่ น.อ. ธาดาวุธ ทัตพิทักษ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ให้ข่าวในสื่อต่างๆว่าการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 1 ไม่ถูกต้องและไม่มีกฎหมายรองรับนั้น ยืนยันว่ากองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน แต่การมีเรือดำน้ำจะช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรอง กองทัพเรือจึงได้ศึกษาและเสนอแนะต่อรัฐบาล กระทั่งในวันที่ 18 เม.ย. 2560 ครม.มีมติเห็นชอบจัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำ สืบเนื่องมาจากกองทัพเรือตระหนักถึงความจำเป็นของเรือดำน้ำ และพบว่า ข้อเสนอของจีนนั้นดีที่สุด และอนุมัติการจัดหาเรือดำน้ำในปี 2559
ยันจีทูจี จริงไม่ใช่ของปลอม
ส่วนที่บอกว่า จีทูจีปลอม เป็นการให้ข้อมูลเท็จ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารเรือ อนุมัติให้ประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำ และเสนาธิการทหารเรือเป็นผู้แทนในการลงนามข้อตกลง จึงยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความถูกต้อง พิจารณารอบคอบตามระเบียบวิธีราชการทุกประการ ขณะที่รัฐบาลจีน สั่งการให้หน่วยงาน SASTIND ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐของจีนสำหรับการบริหารงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการส่งออกอาวุธ มอบอำนาจให้บริษัท CSOC และมอบอำนาจให้ประธานบริษัท CSOC มาลงนามแทน ดังนั้น คนที่มาลงนามของจีน ได้รับมอบอำนาจมาอย่างชัดเจน จึงเป็นจีทูจีของจริง ไม่ใช่จีทูจีของปลอม
ส่วนประเด็นที่ยังคลาดเคลื่อน เรื่องการทำสัญญาระหว่างรัฐบาลจีนกับไทย เนื่องจากเป็นจีทูจี คือ ความเอื้อเฟื้อมิตรไมตรีระหว่างรัฐบาล จึงไม่ใช้คำว่าสัญญา และใช้คำว่า ข้อตกลง ทำให้มีผู้เข้าใจผิดไปแปลว่า ข้อตกลงคือ MOU ที่ต้องลงนามโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งที่ข้อตกลงนี้ เป็น Agreement ไม่ใช่ MOU
โต้ ส.ส. เพื่อไทย บิดเบือนข้อเท็จจริง
ขณะที่ พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกิจการพลเรือน ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณี ที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. เพื่อไทย ที่ออกมาโจมตีกองทัพเรือ เปิดเผยเอกสารลับการจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่า เป็นการพูดที่บิดเบือนข้อเท็จจริงนำไปซึ่งความแตกแยก นำมาสู่ความเกลียดชังต่อกองทัพและเป็นสิ่งที่ไม่สมควร และนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมือง และที่กล่าวหาว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ เป็นสัญญาเก๋ ก็ไม่เป็นความจริง จำนำข้าว ที่พรรคเพื่อไทย ทำต่างหากที่เป็น จีทูจีเก๊ และไม่ถูกต้อง แต่กองทัพเรือทำการซื้อแบบจีทูจีอย่างถูกต้องโปร่งใส ขอสังคมอย่าตกเป็นเหยื่อเรื่องการเมือง พร้อมชี้แจงว่าการจัดซื้อครั้งนี้ ไม่ได้จ่ายทั้งก้อน 2.25 หมื่นล้านบาท ในคราวเดียว ปี2564 ทั้งหมด
“ถ้านักการเมืองหมดมุกแล้ว ก็หามุกอื่นเถอะ อย่าสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ ทร.เลย อย่าให้สังคมตกเป็นเครื่องมือการเมืองในวิถีเก่าๆ และสกปรกแบบนี้อีกเลย อย่าดึงประชาชนมาเกลียดชังกองทัพเรือ ตอนนี้ปัญหาต่างๆ ถาโถมมาหลายเรื่อง การต่อสู้การเมือง ระหว่างรัฐบาล กับฝ่ายค้าน จะทำให้ประเทศชาติหยุดชะงัก และ ทร.ไม่ใช่จำเลย จึงวิงวอนว่าให้ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเห็นแก่ความสุขสงบประเทศเป็นหลักด้วย” โฆษกกองทัพเรือ กล่าว
'สุพล ฟองนาม' รับ โหวตชี้ขาดให้ซื้อเรือดำน้ำ เพราะเป็นพรรครัฐบาล