เอกสารที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย นำมาเปิดเผยในงานแถลงข่าววันนี้ 23 ส.ค. 2563 ประทับตราคำว่าลับมาก อ้างว่าได้มาจากการประชุมอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 คณะอนุกรรมาธิการที่ลงมติเห็นชอบจับซื้อเรือดำน้ำไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21ส.ค.)
กองทัพเรือ เตรียมแถลงไขข้อสงสัย ปมจัดซื้อเรือดำน้ำ 24 ส.ค. นี้
นายยุทธพงศ์ แสดงรายละเอียดในบันทึกข้อตกลงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่ตัวแทนกองทัพเรือนำมามอบให้ในที่ประชุม พร้อมระบุว่า เป็นเอกสารสัญญาแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี แต่เมื่อตรวจสอบ พบว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่สัญญาแบบรัฐต่อรัฐ แต่เป็น เอกสารข้อตกลง ซึ่ระบุเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำเพียง 1 ลำ นายยุทธพงศ์ ย้ำว่า ในเอกสารไม่มีข้อผูกพันว่าไทยต้องซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 2 หรือ ลำที่ 3 จากจีน
ในเอกสารฉบับนี้ มีพล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งในขณะที่เซ็นเอกสาร ปี 2560 ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ส่วนฝั่งประเทศจีน ลงนามโดยบริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐบาลจีน นายยุทธพงศ์ บอกว่า เมื่อเห็นข้อมูลนี้จึงเชื่อว่าไม่ใช่รูปแบบการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี เพราะหากเป็นสัญญาแบบรัฐต่อรัฐจริง ผู้ลงนามฝั่งไทย จะต้องเป็น นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือหากจะเป็นคนอื่นอาจต้องมีหนังสือมอบอำนาจที่ชัดเจน แต่ในกรณีของพล.ร.อ.ลือชัย ไม่พบหนังสือมอบอำนาจใดๆ รวมถึง ตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือ ก็ไม่สามารถรับมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีได้ ยกเว้น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงต้องเป็นโมฆะ
อนุกมธ.ครุภัณฑ์ฯ เห็นชอบซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ 22,500 ล้านบาท หลัง ฝ่ายค้านแพ้โหวต
ทีมข่าวนำประเด็นนี้ไปถาม นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการฯชุดนี้ ซึ่งลงมติเห็นชอบกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ ชี้แจงว่า การที่พล.ร.อ.ลือชัยเซ็นชื่อลงนามจัดซื้อมีเอกสารมอบอำนาจชัดเจนจากรัฐบาล ย้ำว่า สามารถตรวจสอบได้ สิ่งที่นายยุทธพงศ์แถลงข่าวไม่เป็นความจริง
ส่วนประเด็นว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน นายยุทธพงศ์ ระบุว่า กองทัพเรือไม่สามารถชี้แจงเรื่องความจำเป็นได้ ระหว่างถกเถียงกันในห้องประชุม ตัวแทนกองทัพเรืออ้างเพียงว่าจำเป็นต้องจัดซื้อเพื่อความมั่นคงทางทะเล ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่ควรนำเงินไปซื้อเรือดำน้ำ เพราะ ขณะนี้ประชาชนอยู่ในความลำบาก ขณะที่ นางกรณิศ ระบุว่า กองทัพเรือ ยืนยันว่าไม่สามารถเลื่อนการจัดซื้อออกไปได้ เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
ส่วนที่มีการระบุว่า การเห็นชอบจัดซื้อเรือดำน้ำ จะใช้งบประมาณ รวม 22,500 ล้านบาท นางกรณิศ ระบุว่า ไม่เป็นความจริง เพราะ ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขทั้งวงเงิน แต่การผ่านการเห็นชอบที่ลงมติไป เป็นเงิน ประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งจ่ายเป็นงวด งวดละ 1,700 ล้านบาท จัดซื้อ 3 ลำ เท่ากับว่า ต้องผ่อนงวดละประมาณ 3,000 กว่า ล้านบาท เป็นเวลา 6-7 ปี ตามสัญญา ก่อนจะส่งมอบเรือดำน้ำ
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ เคยอธิบายสาเหตุที่เลือกซื้อเรือดำน้ำจีน เพราะได้คุณภาพดีในราคาประหยัด ซื้อ 2 ลำ แถมฟรี 1ลำ แต่การขอผ่านงบประมาณครั้งนี้ นายยุทธพงศ์ บอกว่า เป็นการขอเงินสำหรับซื้อเรือดำน้ำรวม 3 ลำ ประเด็นนี้ นางกรณิศ ชี้แจงว่าอาจเกิดความเข้าใจผิด เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะหมายความว่า หากซื้อจากประเทศอื่น ราคา 30,000 กว่าล้านบาท จะได้เรือดำน้ำ 2 ลำ แต่ราคานี้ซื้อจากจีน จะได้ 3 ลำ พร้อมเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับเรือ
อย่างไรก็ตาม นายยุทธพงศ์ ย้ำว่าในวันพุธที่ 26 ส.ค. เวลา 13.00 น.คณะกรรมาธิการงบประมาณชุดใหญ่ จะให้อนุกรรมาธิการฯชี้แจงเรื่องเรือดำน้ำ ตัวเองจะเสนอให้กรรมาธิการชุดใหญ่ทบทวนเรื่องนี้ พร้อมขอให้กองทัพเรือนำหนังสือสัญญามาแสดง หากแสดงไม่ได้ สัญญาจะต้องเป็นโมฆะ เพราะไม่มีความโปร่งใส ย้ำว่า หากนายกรัฐมนตรียังดึงดันที่จะซื้อเรือดำน้ำ เชื่อว่า จะเป็นจุดจบของรัฐบาล นอกจากนี้ยังตั้งฉายา ให้พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเป็น นายกไทยหัวใจเรือดำน้ำจีน
“ครูมานิตย์” แฉ ซื้อเรือดำน้ำเพิ่ม 2 ลำ เพราะ “บิ๊กตู่” รับปากจีนไว้