เลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ เอกชนลุ้นจุดเปลี่ยนนโยบายการค้า
หุ้นไทยพุ่ง 40 จุด ขานรับ "ไบเดน" มีโอกาสคว้าชัย ปธน.สหรัฐฯ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 เข้าใกล้จุดสิ้นสุดเข้าไปทุกที โดย โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สื่อไทยทุกสำนักต่างรายงานสถานการณ์การเลือกตั้ง อาจเกิดคำถามว่า แล้วการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีความสำคัญอย่างไรกับประเทศไทย
สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจที่ขยับตัวเพียงครั้งหนึ่งก็สร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งโลกได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เรื่องสำคัญอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะส่งผลต่อประเทศอื่น ๆ ได้รวมถึงประเทศไทย
คำถามต่อมาคือ ระหว่าง โจ ไบเดน กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อใครคนใดคนหนึ่งได้เป็นประธานาธิบดี จะสร้างผลกระทบอย่างไรกับเศรษฐกิจไทย
นิวมีเดีย PPTVHD36 สอบถามความเห็น ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ในประเด็นดังกล่าว
กรณีที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ดร.พิพัฒน์บอกว่า เนื่องจากทรัมป์เป็นประธานาธิบดีมา 4 ปี แล้วในช่วงเลือกตั้งก็ไม่ได้ประกาศนโยบายอะไรที่เปลี่ยนทิศทางสิ่งที่ทำมาในตลอด 4 ปี จึงอาจพอคาดเดาได้ว่า นโยบายอาจคล้ายกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
“ผลที่อาจกระทบเราโดยตรงอาจเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้า เพราะเราเห็นแล้วว่าทรัมป์พยายามจะใช้นโยบายนี้เป็นนโยบายหลักใน 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการ Make America Great Again ทำสงครามการค้ากับพันธมิตรทางการค้าใหญ่ แล้วก็ช่วงที่ผ่านมาขึ้นภาษีกับจีน มีผลกระทบมาถึงเราด้วย”
ทั้งนี้การที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ประเทศไทยอาจจะทั้งได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ อย่างหนึ่งที่หลายคนพูดถึง เช่น เรื่องของการย้ายฐานการผลิต อาเซียนอาจจะได้รับประโยชน์ เพราะว่า จีนอาจต้องย้ายฐานการผลิตออกมาจากประเทศตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีทางการค้าจากสหรัฐฯ ไทยจึงอาจได้อานิสงส์ทั้งบวกและลบ ลบก็คือ เรื่องของความไม่แน่นอน แต่ว่าบวกอาจจะมีเรื่องของการลงทุนที่ขยับมาทางนี้บ้าง
นอกจากนี้ สิ่งที่ทรัมป์ทำคือ ช่วยทำให้การเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดหุ้นต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยดี มีเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลมาประเทศอื่น ๆ บ้าง
“แต่ถามว่าจริง ๆ เรากระทบยังไง ในช่วงที่มันมีความไม่แน่นอนในสงครามการค้า การส่งออกของเราได้รับผลกระทบเหมือนกัน เรื่องของการที่เราอยู่ในซัพพลายเชนเดียวกับจีนก็มีผล”
อีกอันหนึ่งที่อาจเป็นประเด็น คือการที่ทรัมป์เอง ถอนตัวจาก TPP (Transpacific Partnership) แล้วสุดท้ายตั้งเป็น CCTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) โดยที่ไม่มีอเมริกา ทำให้ไม่น่าสนใจเพราะไม่มีตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาเข้าร่วม และทำให้การลงทุนใน CCTPP อาจไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไป
“คนบอกว่า อย่างน้อยก่อนโควิด-19 มา ทรัมป์ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นอยู่ในระดับที่สูง หลายคนที่ชอบทรัมป์เพราะว่าทำให้เศรษฐกิจดี แต่ข้อเสียของทรัมป์ คือความไม่แน่นอน ทั้งวิธีการรับมือไวรัส เรื่องความขัดแย้งทางสีผิว ก็ค่อนข้างอ่อนไหว”
อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิมกับตอนนี้ และมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เกินคาดเดาที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ
“การที่ทุกอย่างเหมือนเดิม ก็เท่ากับเราจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเหมือนที่เจอมาตลอด”
กรณีที่ “โจ ไบเดน” ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ดร.พิพัฒน์วิเคราะห์ว่า หากไบเดนได้ตำแหน่งประธานาธิบดี เท่ากับเป็นการเปลี่ยนแกนพรรค จากรีพับลิกันเป็นเดโมแครต ฉะนั้นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจะมีมากกว่าการที่ทรัมป์ได้ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2
หนึ่งในนั้นคือการใช้นโยบายการคลัง นโยบายภาษี ไบเดนต้องการใช้จ่ายเงินมากขึ้น อาจมีการขึ้นภาษีนิติบุคคล อาจจะกระทบกำไรการจดทะเบียนตลาดหุ้นสหรัฐ และอาจทำให้นักลงทุนสนใจลงทุนในสหรัฐฯ น้อยลงเพราะไม่อยากเสียภาษีแพง
ส่วนในการทำสงครามการค้ากับจีน คาดว่าไบเดนจะไม่ใช้วิธีดุดันแข็งกร้าวอย่างทรัมป์ แต่จะหันไปจับมือกับพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อกดดันจีน เช่น การกลับมาเข้าร่วม CPTPP ซึ่งมีผลทำให้ไทยต้องพิจารณาหนักขึ้นในเรื่องของการเข้าร่วม
โดยที่ผ่านมามีกระแสไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วม CPTPP อยู่ค่อนข้างมากในไทย เพราะมองว่าไทยได้ประโยชน์ไม่มากนักเมื่อเทียบกับข้อเสีย แต่หากสหรัฐกลับมาเข้าร่วม CPTPP เมื่อไหร่ ต้นทุนของไทยในการไม่เข้าร่วมจะเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากจะทำให้ประเทศไทยเสียความสามารถในการแข่งขันกับตลาดที่สำคัญอย่างสหรัฐ และนักลงทุนบางประเทศที่อยู่ใน CPTPP เช่น ญี่ปุ่น อาจจะพิจารณาย้ายฐานการผลิตจากไทย ไปยังประเทศอื่น เช่น เวียดนาม หรือมาเลเซีย ที่อยู่ใน CPTPP เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากความร่วมมืออย่างเต็มที่
ย้ำอีกครั้ง ข้อดี-ข้อเสีย ไทยเข้าร่วม CPTPP หลังเอกชนแสดงจุดยืนสนับสนุน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องของนโยบายสิ่งแวดล้อม ดร.พิพัฒน์บอกว่า “เรื่องนี้หมุน 180 องศากลับเลย เพราะในช่วงของทรัมป์ ทรัมป์ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน และยังคงลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันต่าง ๆ ขณะที่ไบเดนต้องการสนับสนุนพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า ก็อาจกระทบไทยในฐานะที่เราเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์สันดาปภายใน”
ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีการสันดาปภายใน หากนโยบายสหรัฐฯ มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า พึ่งพาพลังงานจากคาร์บอนลดลง ไทยอาจได้รับผลกระทบในภาคการผลิตที่เกี่ยวข้อง และต้องหันมาพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้น
ไทยควรเชียร์ใคร?
ดร.พิพัฒน์มองว่า “ขึ้นอยู่กับว่า เราเป็นใคร ถ้าเกิดเราไม่ต้องการความไม่แน่นอน สงครามการค้าต่าง ๆ ก็อาจจะต้องเชียร์ไบเดน ... ช่วงที่ผ่านมาผู้ส่งออกน่าจะเชียร์ไบเดนมากกว่า”
ดร.พิพัฒน์เน้นย้ำว่า คนไทยเราไม่ได้โหวต ไม่ได้เป็นคนที่กำหนดนโยบาย ไม่ได้มีผลได้เสียโดยตรง การเปลี่ยนทิศทางต่าง ๆ จะกระทบผ่านนโยบายการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ
“ต้องบอกว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง ๆ จากการเลือกตั้งทุกครั้งที่เปลี่ยนพรรคมันก็มีผลในแง่ของการเปลี่ยนทิศทาง อาจมีผลกลับมาถึงเรา ในฐานะนักลงทุน การค้า ต้องติดตามดูผล เปลี่ยนไม่เปลี่ยนจะกระทบอย่างไร”