วันนี้ (5 ม.ค. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรีว่าอยู่ระหว่างประสานกองทัพบกของบประมาณส่วนที่เหลือมาต่อเติมอุทยานราชภักดิ์ในโครงการที่มีจำเป็น ส่วนการเปลี่ยนชื่อมูลนิธิราชภักดิ์และคณะกรรมการบางส่วนเป็นเพราะกรรมการบางคนเกษียณอายุราชการ พร้อมขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบในก่อสร้างโครงการนี้ให้หยุดแสดงความคิดเห็นในเวลานี้ เพราะทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นกับคนที่ได้รับผลกระทบ
ขณะที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ กับทีมข่าว PPTV ว่ามีความคืบหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะงบรายรับที่ตรวจสอบเสร็จแล้วและไม่พบความผิดปกติ แต่ยังมีอีก 2 ส่วนสำคัญที่เป็นงบรายจ่าย คือ เงินจำนวน 318 ล้านบาท ที่เป็นค่าจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 พระองค์ ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญมาตรวจดูในรายละเอียดว่า การหล่อได้มาตรฐานและคุณภาพตามราคาหรือไม่
ส่วนอีกจุด คือ ส่วนต่างที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ประสานในโครงการ โดยในส่วนนี้จะต้องย้อนไปตรวจสอบการตั้งราคากลางว่าสูงเกินจริงหรือไม่ และหากพบว่าสูงผิดปกติก็จะต้องหาหลักฐานให้ได้ มีความตั้งใจเรียกรับผลประโยชน์หรือส่วนแบ่งจากการตั้งราคากลางหรือไม่
ทั้งนี้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ยืนยันว่า สตง.ไม่เคยถูกกดดันจากการตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะหากมีการแทรกแซงจริง อาจไม่สามารถได้ข้อมูลเชิงลึกตามที่นำเสนอได้