วันนี้ (12 เม.ย. 59) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาการถอดถอนของรัฐสภาบราซิล มีมติ 38 ต่อ 27 เสียง เห็นชอบให้เดินหน้ากระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีดิลมา รุสเซฟฟ์ ในข้อหาปกปิดตัวเลขการขาดดุลงบประมาณ โดยระหว่างการประชุม ได้เกิดการเผชิญหน้ากันเล็กน้อยระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้าน
ญัตติถอดถอน นางรุสเซฟฟ์จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และคาดว่าการลงมติจะมีขึ้นในวันอาทิตย์หรือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ โดยการถอดถอนต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร 2 ใน 3 (หรือ 342 เสียง จากทั้งหมด 513 เสียง) ก่อน โดยหากสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ ประธานาธิบดีรุสเซฟฟ์จะถูกพักงานชั่วคราว 180 วัน
จากนั้นเรื่องจะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งการถอดถอนจำเป็นต้องอาศัยมติเห็นชอบ 2 ใน 3 (หรือ 54 เสียง จากทั้งหมด 81 เสียง) โดยหากถูกถอดถอน นางรุสเซฟฟ์จะไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 8 ปี และผู้ที่จะเข้ามารักษาการณ์แทน คือ นายมิเชล เทเมอร์ รองประธานาธิบดี ที่เพิ่งนำพรรคร่วมรัฐบาลแยกตัวออกไปเข้าร่วมกับฝ่ายค้าน
ขณะที่หนังสือพิมพ์เอสตาดาวได้สำรวจความคิดเห็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของบราซิลจำนวน 513 คน พบว่า มี สส.ที่สนับสนุนการถอดถอนนางรุซเซฟต์ มี 298 คน ขณะที่ผู้คัดค้าน มีจำนวน 119 คน และผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจอีก 96 คน
ความนิยมในตัวของประธานาธิบดีรุสเซฟฟ์นั้นลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2013 เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และข้อกล่าวหาทุจริตคอรัปชั่น โดยเฉพาะกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกสินบนและทุจริตในบริษัทเปโตรบาส รัฐวิสาหกิจพลังงานของประเทศ ซึ่งนางรุสเซฟฟ์เคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร แม้ว่าในที่สุด จะไม่มีหลักฐานโดยตรงที่โยงไปถึงผู้นำบราซิลก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในที่ราบลุ่มแม่น้ำแอมะซอน แม้จะถูกคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงานของแรงงานที่เลวร้ายขณะที่ค่าจ้างต่ำ ประเด็นแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่ทำให้ลูกจ้างของรัฐลุกฮือประท้วงหลายระลอก และความไม่พอใจของประชาชนที่รัฐบาลใช้งบประมาณจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกและกีฬาโอลิมปิก แทนที่จะดูแลปากท้องประชาชนก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการสำรวจความคิดเห็นต่างระบุว่า ชาวบราซิลส่วนใหญ่สนับสนุนกระบวนการถอดถอนครั้งนี้ แต่นางรุสเซฟฟ์ และกลุ่มผู้สนับสนุนในพรรคแรงงานของเธอ ก็ยังระบุว่า กระบวนการดังกล่าวเป็นการปฏิวัติทางรัฐสภา โดยให้เหตุผลว่า นางรุสเซฟฟ์ไม่เคยถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการในกรณีเปโตรบาส แต่กลับถูกไต่สวนในข้อหาที่รุนแรงน้อยกว่า คือการปกปิดตัวเลขการขาดดุลงบประมาณ