นักท่องเที่ยวหลายคนเรียกขานเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียว่า เส้นทางแห่งความฝัน เพราะนี่คือทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ที่จะพานักเดินทางท่องเที่ยวข้ามรัสเซีย โดยใช้เวลาร่วมสัปดาห์ และเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆได้ด้วย หากย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีแล้ว ผู้คนในยุคนั้นก็คิดเหมือนกันว่า นี่คือเส้นทางแห่งความฝัน เพราะการเดินทางกว่า 9 พันกิโลเมตรด้วยรถไฟ ดูเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริง
แต่ด้วยความมุ่งมั่นของ เซอร์เกย์ วิตเต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของรัสเซียในสมัยนั้น การก่อสร้างจึงเริ่มขึ้นในปี 1891 และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของรัสเซียถูกจารึกเมื่อเส้นทางรถไฟนี้เสร็จสมบูรณ์ในปี 1916
เซอร์เกย์ วิตเต ไม่ได้มองเรื่องการเดินทางที่สะดวกสบายขึ้นเท่านั้น แต่มองไกลถึงพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางการเมืองของรัสเซีย เพราะดินแดนไซบีเรียขณะนั้นเต็มไปด้วยทรัพยากรณ์ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และการเข้าถึงไซบีเรียยังช่วยให้รัสเซียขยายการค้าสู่เอเชียตะวันออกได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างทางรถไฟทรานส์ไซบีเรีย ทำให้ญี่ปุ่นนั่งไม่ติด เพราะมองว่า การล่าอาณานิคมของรัสเซียเป็นภัยต่อภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเมื่อรัสเซียเจรจาแผนสร้างทางรถไฟทางตอนเหนือของแมนจูเรีย ดินแดนที่ญี่ปุ่นต้องการครอบครอง และส่งทหารมาประจำการที่พอร์ตอาเธอร์ ในแมนจูเรีย ความตึงเครียดระหว่าง 2 ฝ่าย นำไปสู่สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตี ในปี 1904
สงครามครั้งนี้เหนือความคาดหมาย เพราะกองทัพญี่ปุ่นขับไล่ทหารของรัสเซียออกไปจาก Port Arthur ในแมนจูเรียได้สำเร็จ และยังเอาชนะกองเรือทะเลบอลติกของรัสเซีย ในยุทธนาวีที่ช่องแคบสึชิมา ก่อนที่จะยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยยุติสงคราม
ดูจากบริบทนี้ คงเรียกได้ว่า โครงการเส้นทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียของรัสเซีย คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสมดุลขั้วอำนาจโลก โดยญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจแทนรัสเซีย
แต่ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะเลวร้ายแค่ไหนสำหรับรัสเซีย ทางรถไฟสายนี้ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ และกลายเป็นเส้นทางคมนาคมที่สร้างความสะดวกสบายในการขนส่งสินค้าไปยังภาคกลางของรัสเซียและใจกลางยุโรปอย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันก็กลายเป็นเส้นทางในฝันของนักท่องเที่ยว ที่อยากผัสประสบการณ์การเดินทางไปตามเส้นทางสายประวัติศาสตร์นี้สักครั้งในชีวิต
และในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เรามาดูเกร็ดความรู้และตัวเลขที่น่าสนใจกัน
ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเป็นทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยระยะทาง 9,298 กิโลเมตร ผ่าน 2 ทวีป คือ ยุโรป และเอเชีย กับ 8 โซนเวลา ตลอดเส้นทางมีสถานีรวมทั้งสิ้น 120 สถานี หนึ่งในนั้นเป็นสถานีที่สร้างจากหินอ่อนทั้งหลังแห่งเดียวในโลก คือสถานีสลุคยันก้า (Slyudyanka, ภาพ: RT) ไม่ไกลจากทะเลสาบไบคาล
25 ปี เป็นระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมดตั้งแต่ปี 1891 จนถึง 1916 ซึ่งในช่วงหนึ่งของการก่อสร้างมีการใช้แรงงานคนมากที่สุดถึง 9 หมื่นคน โดยค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งหมดคิดเป็น 1,455 ล้านรูเบิล
แม้จะผ่านไปร้อยปี ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียก็ยังเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าที่สำคัญที่สุดของรัสเซีย โดยแต่ละปี ขนส่งสินค้าส่งออกกว่าร้อยละ 30 ของสินค้าทั้งหมด ซึ่งในปี 2015 ปริมาณสินค้าที่ขนส่งบนเส้นทางนี้คิดเป็นกว่า 113 ล้านตัน
ส่วนใครสงสัยว่าพนักงานบนขบวนเขาใช้เวลาทำงานกันยังไง เค้าจะแบ่งทำงานกันเป็นชุดค่ะ ชุดนึงก็ทำงาน 2 สัปดาห์ (เที่ยวไป-กลับ) แล้วก็จะหยุดพัก 2 สัปดาห์ ก่อนจะกลับมาทำงานใหม่
และใครที่เดินทางไปช่วงหน้าหนาวต้องเตรียมใจกันไว้เลย เพราะช่วงที่หนาวที่สุดบนเส้นทางสายนี้ อุณหภูมิอาจลดลงต่ำสุดได้ถึง -62 องศาเซลเซียส
อาจจะมีหลายคนสนใจอยากไปเที่ยวแล้ว เรามีข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางของรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกัน
รถไฟทรานส์ไซบีเรียจริงๆ จะมี 3 เส้นทาง โดยเส้นทางหลัก หรือ ทรานสไซบีเรียแท้ๆ ชื่อว่า Trans-Siberian มีจุดเริ่มต้นจากกรุงมอสโก ไปยัง เมืองวลาดิวอสต็อก เมืองท่าทางตะวันออกของรัสเซีย ซึ่งอยู่ใกล้กับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น โดยระยะเวลาการเดินทางแบบไม่แวะพักจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และรถไฟสายนี้จะวิ่งทุกวันตั้งแต่ วันจันทร์ ถึงวันอาทิตย์ วันละรอบ แต่ละขบวนจะออกเดินทางห่างกันประมาณ 10 ชั่วโมง เช่น ถ้าวันนี้ออกเดินทางตอนบ่าย 3 วันพรุ่งนี้รถไฟทรานไซบีเรียสายนี้จะออกเดินทางในเวลาเที่ยงคืนกว่านั่นเอง
เส้นทางต่อมา ชื่อว่า Trans-Manchurian วิ่งจาก มอสโก-ฮาร์บิน-ปักกิ่ง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้เวลา 6 วัน ส่วนเส้นทางสุดท้าย เป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว คือ Trans-Mongolian วิ่งจาก มอสโก- อูลานบาตอร์-ปักกิ่ง โดยรถไฟจะออกสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ใช้ระยะเวลาเดินทาง 5 วัน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่นิยมเช่นกัน
สำหรับการตั๋วการเดินทางรถไฟทรานไซบีเรียนี้สามารถซื้อผ่านตัวแทน หรือ จะไปซื้อตั๋วเองได้ที่เคาน์เตอร์ตามสถานีรถไฟต่างๆ ของรัสเซีย และกรุงปักกิ่ง รวมถึงมองโกเลีย ขณะที่ค่าใช้จ่ายก็จะแตกต่างกันตามชั้นของขบวน และถ้ายิ่งแวะพักสถานีต่างๆ ในเมืองใหญ่เพื่อไปท่องเที่ยว เช่น แวะเมืองเออกรุสต์ เพื่อชมทะสาบไบคาล ราคาก็จะสูงกว่าการนั่งรถไฟแบบวิ่งตรง
ขณะที่ระหว่างการเดินทางของรถไฟทรานไซบีเรียนี้ ขบวนรถไฟจะจอดเกือบทุกสถานีเล็กและใหญ่ โดยสถานีเล็กจะจอดที่เวลาต่ำสุด 1 นาที และสถานีใหญ่จะจอดประมาณ 40 – 50 นาที เพื่อให้ผู้โดยสารได้ลงไปยืดเส้นยืดสาย หรือซื้ออาหารรับประทานได้ และบนขบวนรถไฟก็จะมีตู้อาหารบริการ รวมถึงน้ำร้อนฟรีให้บริการผู้โดยสารตลอดการเดินทางด้วย
คนไทยหากนั่ง Trans-Siberian ก็ไม่ต้องทำวีซ่าเข้าประเทศรัสเซีย และสามารถพำนักในรัสเซียได้ 30 วัน ขณะที่เส้นทาง Trans-Mongolian หรือ Trans-Manchurian ต้องทำวีซ่าประเทศจีนก่อน