ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันยุคใหม่ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล้วนมาจากตัวแทนของพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค คือ รีพับลีกัน และ เดโมแครต เท่านั้น ครั้งสุดท้ายที่ผู้สมัครจากพรรคอื่นสามารถเฉียดกราย เข้าใกล้ทำเนียบขาวที่สุดคือเมื่อราว 1 ร้อยปีที่แล้ว Theodore Roosevelt จากพรรค Progressive ได้รับคะแนน Popular Vote เป็นอันดับสองที่ 27% แต่เป็นการลงชิงชัยอีกครั้ง หลังนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีมาแล้วสองสมัย และหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครทำได้ใกล้เคียงเขาอีก
การเอาชนะสองพรรคใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งเงินทุนมหาศาล สื่อที่โน้มเอียงไปทางสองพรรคใหญ่ ระบบเลือกตั้งที่เอื้อการเมืองแบบสองพรรค และเครือข่ายของพรรคขนาดใหญ่ ที่มีโครงสร้างในเชิงกว้างและลึกทั่วทั้งประเทศ
แม้โอกาสไปถึงทำเนียบขาวมีไม่มากนัก แต่ผู้สมัครทางเลือกที่ 3 มีบทบาทในฐานะผู้กำหนดตัวผู้ชนะเลือกตั้ง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเลือกตั้งครั้งสูสีที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่อดีต ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เฉือนชนะคู่แข่งอย่าง อัลกอร์ ในปี 2000 ครั้งนั้น จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ชนะคะแนน Popular Vote ในรัฐฟลอริดาไปเพียง 537 คะแนน ทำให้เขาได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด ในฟลอริดา 25 คะแนน ตามกฎ Winner-takes-all และได้เป็นประธานาธิบดีในที่สุด
เหตุการณ์นี้อาจไม่ได้จบลงเช่นนี้และสหรัฐฯ อาจมีประธานาธิบดีที่ชื่อ อัลกอร์ หากผู้สมัคร Ralph Nader จากพรรคกรีนไม่ได้ลงชิงชัยในฟลอริดาด้วย เพราะ Nader ได้รับคะแนน Popular Vote ถึง 97,000 คะแนน ซึ่งถือเป็นตัวเปลี่ยนเกม
แม้ประชาชนชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย อยากให้มีทางเลือกที่ 3 โดยเฉพาะในปีนี้ที่ตัวเลือกจากสองพรรคใหญ่ไม่เป็นที่นิยม แต่ดูเหมือนว่าทางเลือกที่ 3 จะแสดงผลงานได้ไม่ดีนัก
คะแนนนิยมของ แกรี่ จอห์นสัน จากพรรคลิเบอร์แทเรียน จิล สไตน์ จากพรรคกรีน และ อีแวน แมคมัลลิน ในฐานะผู้สมัครอิสระ ไม่เพียงพอแม้แต่จะนำพวกเขาไปสู่เวทีดีเบตที่กำหนดคะแนนนิยมขั้นต่ำไว้ 15% แต่จอห์นสัน และสไตน์ ซึ่งมีคะแนนนิยมอันดับที่ 3 และ 4 อาจมีส่วนกำหนดตัวผู้ชนะ จากการแย่งคะแนนเสียงในหลายรัฐ ตามการคำนวณของบลูมเบิร์ก
หากผู้สมัครทางเลือกที่ 3 ได้คะแนนมากพอ อาจแย่งคะแนนเสียงของคลินตันไปได้ถึง 7 รัฐ และทำให้รัฐเหล่านี้ที่เดิมเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต กลายเป็น Swing state ได้ไม่ยาก เช่น วอชิงตัน เมน และโคโลราโด ซึ่งเดิมคลินตันมีคะแนนนิยมนำอยู่ไม่มาก นั่นหมายความว่ารัฐเหล่านี้อาจไม่ใช่ของตายสำหรับคลินตัน
ในทางกลับกันผู้สมัครทางเลือกที่ 3 ก็อาจแย่งคะแนนเสียงของทรัมป์ และทำให้รัฐฐานเสียงรีพับลิกัน 6 รัฐ กลายเป็น Swing state เช่น อาคันซัส อินดีแอนา แอริโซนา และมอนทานา ที่เดิมทรัมป์มีคะแนนนำเฉลี่ยไม่ถึง 5%
ทั้งสองกรณีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้สมัครทางเลือกที่ 3 มีคะแนนรวมกันมากกว่า 13% แม้ตัวเลขนี้เป็นไปได้ยากในผลคะแนนระดับประเทศ แต่ในระดับรัฐไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม
สำหรับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่คะแนนไล่หลัง ฮิลลารี่ คลินตัน อยู่มาก อาจยินดีเสี่ยงกับทางเลือกที่ 3 มากกว่า แต่คลินตันที่คะแนนในมือค่อนข้างมั่นคง เห็นได้ชัดว่าทีมหาเสียงของเธอค่อนข้างเป็นกังวล ด้วยเหตุนี้ทั้ง บารัก โอบามา และ เบอร์นี่ แซนเดอร์ส จึงออกมาย้ำว่าอย่าเลือกทางเลือกที่ 3 เพราะเท่ากับเป็นการทำให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง
ขณะที่สื่อมวลชนบางรายก็ออกบทความโน้มน้าวผู้อ่าน ให้ลงคะแนนเสียงให้กับสองพรรคใหญ่เท่านั้น ด้วยเหตุผลว่าการเลือกทางเลือกที่ 3 เพื่อต้องการประชดประชัน ตัวเลือกที่ไม่น่าเลือกอย่างทรัมป์และคลินตัน อาจมีผลไปในทางตรงข้ามกับความต้องการ เพราะทางเลือกที่ 3 ไม่มีทางชนะ การเลือกแกรี่ จอห์นสัน จึงเท่ากับให้คะแนนคลินตัน และการเลือกจิล สไตน์ จะเท่ากับเลือกทรัมป์