หลังวัดสัมพันธวงศามรามฯ ถูกเข้าตรวจสอบงบอุดหนุนด้านโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทีมข่าวพีพีทีวี พยายามสืบค้นจนพบหลักฐานสำคัญที่ทำให้พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี โดยพบว่า เมื่อปี 2557 ระหว่างที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เซ็นเช็คอนุมัติงบ 5 ล้านบาท มอบให้นายบุญเลิศ โสภา ที่ปฏิบัติผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา ขณะนั้น นำงบฯส่งเข้าบัญชีวัดสัมพันธวงศารามฯ หลังวัดได้รับงบจำนวนนี้ พระพรหมเมธี ได้โอนเข้าบัญชีส่วนตัวจำนวน 5 ล้านบาท จากนั้นนำงบออกจากบัญชีแรก ไปเข้าบัญชีที่สองของตัวเอง 3 ล้าน 5 แสนบาท
ส่วนการตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัดรอบ 4 ของกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ทางแหล่งข่าวเผยกับพีพีทีวีว่า มีวัดที่ถูกตรวจสอบมากกว่า 10 แห่งทั่วประเทศ เบื้องต้นพบวัดในจ.นครนายก 8 แห่ง อาจมีการทุจริต เพราะเส้นทางการเงินของทุกวัด พบว่ามีงบด้านบูรณะปฏิสังขรณ์ ด้านโรงเรียนพระปริยัติธรรม และด้านเผยแผ่ศาสนา จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าบัญชีวัดทั้ง 8 แห่ง รวมเป็นเงิน 71 ล้านบาท และมีการโอนกลับไปยังข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนากว่า 58 ล้านบาท
ป.ป.ช.คาด 3 เดือน สรุปเงินทอนวัดล็อต 3 พบพระวัดภาคเหนือเพิ่มอีก
ด้าน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า รายละเอียดการทุจริตเงินอุดหนุนวัดทั้งหมด ยังอยู่ในคณะอนุกรรมการไต่สวน 13 สำนวน เพื่อตรวจสอบ 13 วัด เสร็จไม่พร้อมกัน แต่อะไรที่เสร็จก่อน ก็เร่งรัดให้หน่วยงานรับผิดชอบ ขอศาลอนุมัติหมายจับได้ และระหว่างการไต่ส่วน คณะอนุกรรมการ พบการทุจริตเพิ่มอีก 1 วัดดังแห่งหนึ่งในภาคเหนือ
พล.ต.อ.วัชรพล คาดว่า การสอบสวนคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อต 3 คาดว่าอีก 2-3 เดือนก็แล้วจะเสร็จ ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ยังติดตามตัวไม่ได้ ตามกฎหมาย ป.ป.ช. สามารถพิจารณาสอบพยานลับหลังได้ โดยไม่ต้องนำตัวมาขึ้นศาล