หลังทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา ถูกฝากขังไปแล้ว ตอนนี้ทนายความก็เร่งเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีและขอยื่นประกันตัว ล่าสุดทนายความของทนายตั้มยืนยันว่ามีหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดี ยืนยันว่าไม่เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง
นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวทางโทรศัพท์ถึงแนวทางการต่อสู้คดีของทนายตั้ม โดยเปิดเผยว่าตอนี้ตำรวจแจ้งข้อหากับทนายตั้ม 1 คดี
โดยแจ้งฐานความผิด 3 ข้อหา ตามการกระทำผิด 3 ครั้ง ครั้งแรกคือปมเงิน 71 ล้านบาท ที่ทนายตั้มอ้างว่า นางจตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ให้ด้วยความเสน่หา ครั้งที่ 2 คือเงิน 13 ล้านบาท ที่นำไปซื้อรถเบนซ์ให้เจ๊อ้อย และเงินค่าออกแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาท ส่วนเงิน 39 ล้านบาท ที่จัดหาศิลปินมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหา
ปมเงิน 71 ล้านบาท ที่ได้มา ทนายตั้มให้ข้อมูลกับตนว่าเป็นเงินที่เจ๊อ้อยให้มาทำธุรกิจ ซึ่งทนายตั้มได้ปรึกษาเจ๊อ้อยว่าจะทำธุรกิจหวยออนไลน์แต่ขอทำเพียงคนเดียว ไม่ได้ชวนเจ๊อ้อยร่วมลงทุนด้วย เจ๊อ้อยจึงให้เงินก้อนนี้มาทำธุรกิจ และตอนที่คุยกันเจ๊อ้อยกับทนายตั้มคุยกันแต่ 2 คน ไม่มีบุคคลที่ 3 หรือพยานคนอื่นอยู่ด้วย และไม่มีการเซ็นสัญญาใด ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเด็นนี้ทนายความจะต่อสู้คดียังไงเพราะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรหรือพยานบุคคล จะต่อสู้คดีได้หรือไม่ ทนายสายหยุดก็ตอบไม่ได้ว่าหลักฐานที่มีจะสู้คดีได้หรือไม่ ซึ่งทนายตั้มยืนยันว่าไม่ได้โกงแน่นอน และหากเจ๊อ้อยยืนยันว่าไม่ได้ให้โดยเสน่หา ส่วนตัวก็มองว่าหากจะบังคับให้ใช้หนี้จำเป็นต้องแจ้งความหรือฟ้องร้องกันด้วยหรือ
“ก็คือจากหลักฐานที่มีจะทำให้ผมพอที่จะทำคดีได้ไหม อันนี้ผมไม่ตอบไม่ได้ เพราะทนายษิทราเขาก็เป็นทนายที่เก่งคนหนึ่ง ซึ่งเขาบอกข้อเท็จจริงผมมาแบบนี้ แต่หลักฐานที่เขาถืออยู่ในมือมันเป็นแบบนี้ เขาบอกว่าเขาไม่ได้โกง เขาไม่ได้โกงแน่นอน เขาเอาเงิน ขอเงินให้ช่วยมาลงทุน มาทำธุรกิจแพลตฟอร์ม แต่ตอนหลังเขาจะเปลี่ยนใจทำหรือไม่ทำอะไรก็สุดแล้วแต่ มันเป็นปัญหาของทนายษิทราเขา ซึ่งเราเป็นทนายด้วยกันเราก็ดูวิเคราะห์ว่าช่องทางนี้เราสู้คดีได้ แต่ผมก็ยืนยันเสมอว่าถ้าเป็นหนี้เขา เขาให้เงินมา เขาทวงก็ต้องคุยกันว่าเป็นยังไง เพราะคนให้เขายืนยันว่าเขาไม่ให้ แต่การทวงหนี้ บังคับหนี้ จะต้องบังคับกันด้วยวิธีแจ้งความเหรอ เอาคนไปติดคุกหรือบังคับด้วยการฟ้องร้องทางแพ่ง ผมมองจุดนี้มากกว่า”
ส่วนเงิน 13 ล้านบาท ที่ทนายตั้มนำไปซื้อรถเบนซ์ให้เจ๊อ้อย นายสายหยุดยืนยันว่ามีหลักฐานการซื้อขายโชว์รูม รถเบนซ์ราคา 12.9 ล้านบาท เป็นราคาตลาด มีส่วนต่าง 1.5 ล้าน เป็นค่าคอมมิชชั่น ทนายตั้มจึงได้เงินส่วนต่างนี้มา
ส่วนที่เจ๊อ้อยบอกว่ารถราคาเพียง 8-9 ล้านบาท ทนายสายหยุดยืนยันว่าไม่น่าใช่บแบบนั้น เพราะราคารถมือสองก็หลัก 10 ล้านบาท แล้ว ซึ่งต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการซื้อขายรถไปให้การกับตำรวจอีกครั้ง แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การฉ้อโกงเพราะเจ๊อ้อยต้องการใช้รถคันดังกล่าว ต้องนำเข้ามา ไม่ได้มีขายตามโชว์รูมทั่วไป
ส่วนเงิน 9 ล้านบาท ที่ใช้ออกแบบโครงการก่อสร้างโรงแรมของเจ๊อ้อย ทนายสายหยุดบอกว่าเจ๊อ้อยให้ทนายตั้มดูแลเรื่องนี้ ซึ่งตอนนั้นเจ๊อ้อยไม่ได้ให้เงินค่าที่ปรึกษารายเดือนกับทนายตั้มแล้ว ทนายตั้มจึงจ้างออกแบบและจ่ายค่าจ่างตามจริงไป 3.5 ล้านบาท และภายหลังเจ๊อ้อยยกเลิกการจ้างไม่ให้ทนายตั้มเข้าพื้นที่ จึงเหลือเงินอยู่ที่ทนายตั้ม 5.5 ล้านบาท ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมทนายตั้มถึงไม่คืนเงินก้อนที่เหลือให้เจ๊อ้อย ตนตอบแทนไม่ได้ แต่ก็มองได้ 2 มุม คือเป็นเงินค่าจ้าง ซึ่งจากหลักฐานที่มีทั้ง 2 เรื่อง นายสายหยุดระบุว่าหากศาลยกคำร้องทนายตั้มและภรรยาก็จะไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงเป็นปกติธุระและการฟอกเงิน
ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ทนายความชื่อดัง ไลฟ์วิเคราะห์ข่าวเด่นคดีดังและการเมืองผ่านเพจทนายคลายทุกข์เมื่อเช้าวันนี้ พูดถึงคดีความระหว่างเจ๊อ้อยกับทนายตั้ม เพื่อให้ความรู้ทางกฎหมาย โดยแนะนำผู้ชมไลฟ์ว่า คดีทนายตั้มจะผิดหรือถูกอยู่ที่การพิจารณาพยานหลักฐานในชั้นศาลซึ่งต้องมีการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย ดังนั้นการติดตามคดีความต่าง ๆ ขอให้ฟังหูไว้หู เพราะมีหลายคดีที่คิดว่าน่าจะติดคุกแต่สุดท้ายศาลตัดสินยกฟ้องก็มีหลายคดี
ทนายเดชา ยังพูดถึงกรณีเพจบิ๊กเกรียนโพสต์ข้อความเมื่อค่ำวานนี้พาดพิงถึงทนายอินฟูลฯ คนหนึ่งที่ไปกล่าวหาว่า บิ๊กเกรียน ดาวแปดแฉก ลุยชนข่าว ชี้นำว่าตั้มกับภรรยาหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกรณีนี้ทนายเดชาได้เปิดเผยว่า ตัวเองได้ติดต่อหาบิ๊กเกรียนแล้วสรุปว่าข้อความที่โพสต์นั้นไม่ใช่ทนายเดชา ส่วนข้อมูลที่บอกว่าทนายตั้มจะหลบหนีนั้นคนที่ให้ข่าวคือตำรวจ และในคำร้องฝากขังทนายตั้มกับภรรยาก็ระบุไว้ชัดเจนในข้อที่ 6
นอกจากนี้ ทนายเดชายังโพสต์ข้อความเป็นปริศนา โดยเมื่อช่วงสายวันนี้ เพจทนายคลายทุกข์ของทนายเดชา โพสต์ข้อความระบุว่า คนที่เคยทุจริตเคยติดคุกคดีทุจริตไม่ควรวิจารณ์คนอื่นว่าโกงเพราะตัวเองยังไม่สะอาดควรหุบปากอยู่เฉยเฉย