กรณีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ที่ถูกจับกุมพร้อมแจ้งข้อหาดำเนินคดี โดยมีคู่กรณีคือ "เจ๊อ้อย" ที่ระบุว่าถูกฉ้อโกงรวมเป็นจำนวนเงินกว่า 71 ล้านบาท ถูกพูดถึงในสังคมเป็นวงกว้าง โดยล่าสุดทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้ยึดทรัพย์จำนวนดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตาความเคลื่อนไหวต่อไปของกรณีนี้กันอย่างใกล้ชิด
งานนี้ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และ นางสาวบุญยนุช แสงศรี แอดมินเพจออยศรีและผองเผือก ได้ร่วมพูดคุยกับ PPTV ในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk เปิดพฤติกรรมทนายตั้ม พร้อมความเคลื่อนไหวก้าวต่อไปที่อาจเกิดขึ้น
ยึดทรัพย์แล้ว 71 ล้าน เงินสด-บ้านหรู“ทนายตั้ม”
เปิดสถิติ ลิเวอร์พูล บ่งชี้มีโอกาสเกิดเหตุซ้ำรอยซีซั่น 2019-20 อีกครั้ง
เช็กสถิติหวย-สลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี งวดวันที่ 16 พ.ย.
มั่นใจ "ทนายตั้ม" หวังโยนเป็นคดีแพ่ง เชื่อ "ทนายสายหยุด" เตรียมถอนตัวก่อนขึ้นศาล
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ความจริง นายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือ “ทนายสายหยุด” ทนายความของทนายตั้ม ไม่ใช่ลูกจ้างของทนายตั้ม แต่รับจ๊อบมา รับฟังจากทนายตั้มเพียงผิวเผิน เชื่อว่าไม่มีผู้ต้องหาคนไหนให้ความจิรงกับทนายความของตัวเอง และวันว่าความจริงไม่ใช่นายสายหยุด เพราะไม่มีใครว่าความให้ทนายตั้มแล้ว ถ้ามีก็เป็นเด็ก ๆ ไม่ถึงขั้นมาออกสื่อ
ส่วนตัวมองว่าทนายตั้มตั้งใจให้โยงเป็นคดีแพ่ง เพื่อให้เห็นว่าเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน จากนั้นก็จบกันไป แต่ที่จริงแล้วต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องของแพลตฟอร์มออนไลน์ มีการว่าจ้างจริงไหม ทำให้เจ๊อ้อยจริงไหม มีโควตาลอตเตอรี่จริงไหม ประเด็นมีเท่านี้ ส่วนตัวมองว่าเนื้อหาในสำนวนไม่ได้เป็นอย่างที่ทนายตั้มพูด
ดังนั้น ตนเชื่อว่าทนายตั้มยังไม่รู้ว่าเจ๊อ้อยมีอะไร ทนายความเจ๊อ้อยมีอะไร รวมถึงทนายสายหยุดเช่นกัน เพราะได้คุยกันเป็นการส่วนตัวมาแล้ว มองว่าคดีนี้จะเริ่มขึ้นศาลประมาณปลายปี 2568 จากนั้นคาดว่าจะมีคำพิพากษาช่วงต้นปี 2569 เพราะคดีที่มีนัดตอนนี้อยู่ที่ช่วงของประมาณเดือนกันยายนแล้ว
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ขณะนี้ทนายสายหยุดรับเรื่องเฉพาะความเสียหาย 71 ล้านบาท ถ้าต่อไปศาลออกหมายจับในกรณีความเสียหาย 39 ล้าน จนถึงขณะนั้นเชื่อว่าทนายสายหยุดจะขอถอนตัว
ในส่วนของคดีความเสียหาย 39 ล้าน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานในหลากหลายประเด็น เนื่องจากมีการไปเบิกเงินกันที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ย่านลาดพร้าว เอาคนมีสีมาคุ้มกัน ซึ่งกว่าจะพิสูจน์ทราบได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร
พฤติกรรมทนายตั้ม ไม่ชอบมาพากล - เหมือนโยนความผิดให้ "เจ๊อ้อย"
นางสาวบุญยนุช กล่าวว่า อยากเห็นปลายทางของคดีนี้ ส่วนตัวเคยช่วยเหลือกับทนายตั้มในคดีหวย 30 ล้าน จากนั้นก็แยกกัน ตนเคยเป็นผู้ประสบภัยมาก่อน และเชื่อว่าสักวันจะต้องมีวันนี้ที่เฝ้ารอมากว่า 6 - 7 ปี
สำหรับการต่อสู้ของทนายตั้ม ที่ได้ทนายสายหยุดมาช่วยเหลือ ส่วนตัวเชื่อว่าเจตนาแรกของทนายตั้มที่อ้างว่าให้โดยสเน่หานั้นเป็นเพราะเขารู้ตัวและต้องการชิงแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง เพราะเขารู้ว่าต่อไปต้องเป็นเรื่องเป็นราวแน่นอน และหากย้อนไปก่อนโดนจับก็จะเห็นว่าเขายังไปแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เพื่อสร้างไทม์ไลน์ในการแสดงความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เขามักแสดงออกก่อนเสมอ
นางสาวบุญยนุช เผยว่า ในช่วงระยะเวลาที่รู้จักกันหลัก 4 - 5 เดือน เราได้เห็นวิธีการคิดในช่วงเวลานั้น เรารู้ว่าสมองเขามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเขาจะแสดงความบริสุทธิ์ของตนเองก่อน หาพื้นที่ให้คนเห็นใจไว้ก่อน เพื่อที่ต่อมาเมื่อมีปรากฎการณ์ที่เขาโดนดำเนินคดี จะได้มีแฟนคลับออกมาใหกำลังใจ
ส่วนตัวมองว่ายากที่เจ๊อ้อยจะมอบเงินให้ทนายตั้มโดยสเน่หา เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่อยากจ้างกันต่อเลย แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่จะให้เงินโดยไม่มีข้อแม้ และทนายสายหยุดก็บอกว่าพยานหลักฐานไม่ใช่แบบที่ทนายตั้มพูด ซึ่งจากพฤติกรรมนี้ไม่ต่างกับการโยนความผิดให้เจ๊อ้อย
นางสาวบุญยนุช มองว่า ทนายตั้มพยายามทำคดีให้ออกไปทางแพ่งมากที่สุด เพราะถ้าไปทางอาญาจะติดคุก ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า จากที่มีเหตุต่าง ๆ อย่างที่ทนายสายหยุดบอกว่าให้เพื่อลงทุนคนเดียว ถ้าเป็นการลงทุนคนเดียว เจ๊อ๊อยให้ไปก็ไม่ต่างกับการให้โดยสเน่หาเพราะไม่มีการทวงถาม ถ้าเจ๊อ้อยทวงถามนั่นหมายความว่าข้อสัญญานี้ไม่มีทางเป็นในลักษณะการลงทุนคนเดียว
ซึ่งตนสงสัยเรื่องฐานะของทนายตั้มมาตั้งแต่ที่มีข่าวนายชูวิทย์แล้ว ว่าทำไมถึงรวยขนาดนี้ ไม่เหมือนเดิม ซึ่งเมื่อช่วงพฤษภาคมปีก่อน มีการนำเจ๊อ้อยมาร่วมแถลงข่าวด้วย ส่วนตัวจึงคิดว่ามีความไม่ชอบมาพากล หรือมีนอมินีใด ๆ หรือไม่
ตนก็พยายามสืบหาว่าทนายตั้มรวยเพราะถูกลอตเตอรี่ หรือจากเหตุอื่น ๆ จริงหรือไม่ รวมถึงงบประมาณของบริษัทที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่กลับซื้อบ้านหรือใช้จ่ายร่ำรวย จึงตั้งข้อสงสัยในเรื่องนี้ เมื่อเจ๊อ้อยออกมาเป็นผู้เสียหาย ทุกกอย่างก็กระจ่าง
เปิดพฤติกรรมทนายตั้ม เป็นคนใจร้อน - โลภ
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าทนายสายหยุดยังไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด เรื่องพวกนี้ทนายตั้มเก่งอยู่แล้ว ซึ่งมีการปลอมแปลงหลักฐาน และยืมศาลเป็นเครื่องมือ เชื่อว่าการออกหมายจับของศาลในครั้งนี้ หากไม่ได้กระทำความผิดจริง ศาลไม่ออกหมายจับหรอก การที่คุณออกมากองปราบฯ เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าเป็นการแสดงตัวว่าไม่หลบหนี
การที่ทนายตั้มข่มขู่พยานเพื่อให้เกิดความกลัว เข้ามายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน คือสิ่งหนึ่งที่เป็นพฤติการณ์ของทนายตั้ม เขาเป็นคนใจร้อน ทนไม่ไหวจึงต้องออกมา ธรรมชาติของเขาเมื่อขึ้นศาลแล้วเขาจะข่มขู่ ใช้วิธีพูดเสียงดัง ซึ่งส่วนตัวเห็นมาทุกศาลแล้ว
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า กรณีที่อ้างว่าเงินส่วนต่างเป็นค่าดำเนินการนั้น คำถามคือได้บอกเจ๊อ้อยหรือไม่ คุณรับเงินเดือนเขา เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต้องปกป้องผลประโยชน์ให้นายจ้าง ต้องบอกเลยว่ามีค่าดำเนินการ ซึ่งส่วนตัวมองว่าเจ๊อ้อยรับได้ แต่ไม่ใช่ให้มารู้ภายหลังว่ามีการกินหัวคิว ถ้าจะมีค่าดำเนินการคิดว่าเงินแค่นี้กิ๊กก๊อกสำหรับเจ๊อ้อยด้วยซ้ำ เขาให้ได้ หรือจะขอมากกว่านี้ก็เชื่อว่าให้ได้
ทีนี้ทนายตั้มมีความโลภ อยากรีบได้เงิน ก็จะสร้างเรื่องราวขึ้นมาจากนั้นไปกินผลส่วนต่าง สังเกตได้เลยว่าทุกการว่าคดีมีส่วนต่างทุกช็อต แต่คำถามคือได้บอกลูกความหรือไม่ ถ้าบอกเขาเชื่อว่าจะไม่มีปัญหา แต่นี่เป็นการปกปิดความจริง
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังกล่าวว่า บางเรื่องทนายตั้มจะให้จ่ายเป็นเงินสด เป็นโปรโมชัน เช่นกรณีคนจีน 2 แม่ลูกล่าสุด แค่พาออกสื่อให้สื่อมาทำข่าว จ่าย 3 แสน ส่วนอีก 1 ล้านเป็นค่าทำคดี แต่ถ้าจ่ายเงินสด ลดเหลือ 9 แสนบาท เพื่อไม่ให้มีหลักฐานการโอนเงินเข้าบริษัทษิทรา ลอว์เฟิร์ม รวมถึงเป็นการเลี่ยงภาษีโดยชัดเจน
ด้าน นางสาวบุญยนุช เผยว่า ทนายตั้มไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เขาจึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ และทนายตั้มเป็นที่ปรึกษาเป็นทนายความของเจ๊อ้อย ถ้าเจ๊อ้อยไม่ใช่เศรษฐินีหมื่นล้าน ถามว่าทนายตั้มจะได้กินส่วนต่างขนาดนี้หรือไม่ ทนายตั้มสร้างความเคลือบแคลงใจให้เจ๊อ้อยมากมาย ประกอบกับการนำเสนอให้น้องหรือหลานสาวให้ไปดองกับลูกชายเจ๊อ้อย รวมถึงนำเสนอลูกของตนเองให้ไปเป็นลูกบุญธรรมของเจ๊อ้อย เรียกได้ว่าเขาคุมความรู้สึกตัวเองไม่อยู่ เมื่อไปอยู่กับเศรษฐินีในระดับนี้
นางสาวบุญยนุช กล่าวต่อว่า เดิมทีครอบครัวทนายตั้มไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว และเมื่อมีโอกาสมาตรงนี้ เราจะเห็นได้จากพฤติการณ์ต่าง ๆ เช่น การบิน Business Class พร้อมครอบครัวตลอดทุกเดือน ซึ่งไม่มีความเกรงอกเกรงใจ หรือคำพูดจากการออกรายการต่าง ๆ ที่หาความชอบธรรมจากความรวยของเจ๊อ้อย บอกว่าเจ๊อ้อยรวยหมื่นล้าน เงินแค่นี้เล็กน้อยสำหรับเขา ซึ่งไม่ว่าเงินมากหรือน้อยคุณไม่มีสิทธิก้าวล่วง แค่มรรยาทของทนายก็ไม่ถูกต้องแล้ว
นอกจากนี้ยังเผยว่า เมื่อทนายตั้มขาดอิสรภาพแล้ว ก็ต้องมีคนที่ดูแลเงินแทน เชื่อว่าจะเป็นน้องสาว ซึ่งคงจะเป็นคนเดียวกันกับตำแหน่งเหรัญญิกของบริษัททนาย นั่นเท่ากับว่าทนายตั้มไว้วางใจให้กับน้องสาวคนนี้
แฉคดีทนายตั้ม ปี 63 ปลอมคำให้การช่วยผ่อนโทษลูกความในคุก
กรณีคดียาเสพติดที่ทนายตั้มไปรับเงินและพยายามอ้างว่าช่วยเหลือผู้ต้องหา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยนั้น นายอัจฉริยะ กล่าวว่า กฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดนั้นดี ที่ช่วยผู้ต้องหาที่แจ้งเบาะแส ต้องการจับตัวใหญ่โดยลดโทษให้ตัวเล็กหากขยายผล สมมติว่าตำรวจจับคนนี้ร้อยเม็ด ถ้าซัดทอดไปจับตัวใหญ่ได้ล้านเม็ด ก็จะได้รับลดโทษครึ่งหนึ่ง
ทีนี้พอกฎหมายนี้ดี ก็มาเป็นช่องว่างได้ว่าสามารถทำหลักฐานบันทึกจับกุมเท็จได้ แต่กรณีของทนายตั้มคือ อ้างว่าคนนี้อยู่ในเรือนจำ มีการแจ้งเบาะแสมาจากคนนี้ กระทั่งไปจับคนใหม่ได้
ทว่าการให้การนี้เป็นการซัดทอดจากในเรือนจำ หลังจากผ่านไป 4 - 5 เดือนแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะถูกขังคุกอยู่ในเรือนจำอยู่ เป็นการทำเพื่อให้คนที่อยู่ในเรือนจำได้ลดโทษ
นายอัจฉริยะ เผยตัวอย่างเคสกรณีของไบรท์ ที่ถูกจับคดียาเสพติด ผ่านการซัดทอดโดยนายธีรวัฒน์ ลูกความของทนายตั้มที่อยู่ในคุก ซึ่งภายหลังต่างฝ่ายต่างก็ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกันมาก่อน และไม่เคยให้ข้อมูลตำรวจด้วย และทราบว่าคำให้การดังกล่าวทนายตั้มและตำรวจ 3 นายเขียนขึ้นมาเองว่ามีการซัดทอด เพื่อให้มีการลดโทษ
จนสุดท้ายมีการออกหมายจับทนายตั้ม 1 และ ตำรวจ 3 รวม 4 คน ซึ่งคดีนี้ตั้งแต่ปี 2563 ร่วมทำบันทึกจับกุมเท็จ กระทั่งมีการวิ่งซ่อนมากว่า 4 ปีแล้ว เคยทวงถามอัยการสูงสุดมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็เงียบจนสุดท้ายเตรียมยกทัพนักข่าวไปถาม เพราะเหลืออด
ซึ่งวันนี้อัยการมีการไปรับอีกคำสั่งคือ ห้ามอัยการให้ข่าว ปิดกั้นอัยการ ตนอยากให้อัยการชี้แจงว่าเหตุผลที่เอาไปซ่อนเพราะอะไร พฤติการณ์นี้เหมือนไม่ให้ความเป็นธรรมกับทนายตั้ม ถ้าทนายตั้มไม่ผิดจริงก็ให้สั่งไม่ฟ้องได้