เวทีเสวนา THAILAND COVID-19 VACCINE FORUM 2021 สถานการณ์ความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนไทยสู้โควิด โดยทีมประเทศไทย ทุกแพลตฟอร์มที่มีอยู่ตอนนี้ ว่าดำเนินการถึงขั้นตอนไหนแล้ว โดยเริ่มกันที่
พบ “ภาวะลองโควิด (Long COVID)” อาจคงอยู่แม้หายจากโควิด-19 แล้ว 1 ปี
สธ. อนุมัติขายชุดตรวจ ATK ผ่านร้านค้า-ออนไลน์
ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ศูนย์วิจัยวัคซีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อัปเดตความก้าวหน้าของการวิจัยพัฒนาวัคซีน Chula-Cov 19 วัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA ซึ่งเริ่มดำเนินการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1/2 ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยมีการทดสอบในอาสาสมัคร 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอายุ 18-55 ปี จำนวน 36 ราย และกลุ่มอายุ 56-75 ปี จำนวน 36 ราย ฉีดวัคซีน 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์
ผลเบื้องต้นในกลุ่มอายุ 18-55 ปี พบว่า วัคซีนกระตุ้นภูมิกันได้ดี ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง โดยอาสาสมัครมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง อาการจะดีขึ้นภายใน 1 ถึง 2 วัน อาการที่พบ ได้แก่ เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น และมักพบภายหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แต่ในขั้นนี้ได้ทำการทดสอบในประชากรจำนวนน้อย และยังต้องติดตามผลความปลอดภัยในประชากรที่มากขึ้น
ส่วนในกลุ่มอายุ 55-75 ปี ยังอยู่ระหว่างการทดสอบ คาดว่าจะทราบผลเบื้องต้นในกลางเดือนหน้า และขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อเตรียมการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 ต่อไป
ขณะเดียวกันก็ได้เตรียมความพร้อมขยายกำลังการผลิตวัคซีน และคาดว่าจะสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนให้กับบริษัทไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรมในประเทศได้ในไตรมาสแรกของปี 2565 และเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาวัคซีน Chula-Cov 19-2 ซึ่งเป็นวัคซีนรุ่นที่ 2 ที่ตอบสนองต่อเชื้อไวรัสกลายพันธุ์อีกด้วย
ใบยา อยู่ในระหว่างทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 เดินหน้าพัฒนาเป็นวัคซีนผสม (Cocktail vaccine)
ผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทใบยา-ไฟโตฟาร์ม จำกัด ผู้ร่วมพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ชนิด Protein subunit จากระบบการผลิต recombinant protein โดยการตัดต่อพันธุกรรมของแบคทีเรียที่ก่อโรคในพืช (Agrobacterium) ในใบยาสูบ ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนของบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม บริษัท startup ในเครือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า
ปัจจุบันวัคซีนอยู่ในระหว่างการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ฉีดอาสาสมัครจำนวน 4 รายแรกตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ขณะนี้ยังไม่พบข้อกังวลด้านความปลอดภัย และจะดำเนินการฉีดให้กับอาสาสมัครรุ่นแรกที่เหลืออีก 12 ราย ในวันที่ 30 กันยายน 2564 สำหรับการทดสอบในมนุษย์ของวัคซีนใบยามี ศ.นพ.เกียรติ ร่วมเป็นนักวิจัยทางคลินิกด้วย
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนาวัคซีนรุ่นที่สอง โดยปรับปรุงสูตรด้วยการใช้ Adjuvant ชนิดใหม่ ทำให้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และมีการพัฒนาจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์มากกว่า 10 รูปแบบ เพื่อพัฒนาเป็นวัคซีนผสม (Cocktail vaccine) ซึ่งวัคซีนรุ่นที่สองนี้อยู่ระหว่างการทดสอบในสัตว์ทดลอง
แบบพ่นจมูกวิจัย 2 รูปแบบ หนึ่งในนั้นประยุกต์ให้ป้องกันได้ทั้งโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด 19
สำหรับความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนต้นแบบของ สวทช. ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการไบโอเทค สวทช. ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าการพัฒนาวัคซีนชนิด Viral Vector แบบพ่นจมูก ดำเนินการวิจัยพัฒนาใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การใช้ Adenovirus เป็นพาหะ (Adenovirus based) และ การใช้ไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นพาหะ (Influenza based)
ขณะนี้ Adenovirus based อยู่ระหว่างการทดสอบในหนูทดลอง ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ไวต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา โดยเป็นการเลียนแบบช่องทางการติดเชื้อในธรรมชาติ ทำให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินหายใจ และเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนชนิด Adenoviral Vector เข้ากล้ามเนื้อ
ผลการทดลองเบื้องต้น พบว่า หนูทดลองสร้างภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินหายใจได้ดีเทียบเท่ากันทั้งรูปแบบการให้วัคซีนทางการพ่นจมูกและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ส่วนวัคซีนชนิด Influenza based เป็นการประยุกต์ใช้ให้วัคซีนสามารถป้องกันได้ทั้งโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งวัคซีนชนิดนี้อยู่ระหว่าง เตรียมการทดสอบในหนูทดลองซึ่งจะเป็นการให้วัคซีนแบบพ่นจมูก
สำหรับแผนการขยายกำลังการผลิตวัคซีนชนิด Adenovirus based สวทช. ได้มีความร่วมมือกับบริษัท คินเจนไบโอเทค ส่วนวัคซีนชนิด Influenza based เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. และองค์การเภสัชกรรม
วัคซีน HXP-GPOVac จาก องค์การเภสัชกรรม ไตรมาส 3 ปี 65 ขอขึ้นทะเบียนได้
ดร.ภญ.พรทิพย์ ได้ให้ข้อมูลว่า วัคซีน HXP-GPOVac ซึ่งเป็นวัคซีนที่พัฒนามาจากไวรัสนิวคาสเซิล (NDV) ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนโปรตีนส่วนหนามของไวรัสโคโรนา (Hexapro) จากการเพาะเลี้ยงไวรัสในไข่ไก่ฟักได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่องค์การเภสัชกรรมสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในการผลิต โดยวัคซีนชนิดนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายหน่วยงานระหว่างประเทศ ได้แก่ สถาบัน PATH สหรัฐอเมริกา และโรงเรียนแพทย์ Mount Sinai ในนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยเท็กซัส และได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนชนิดนี้ให้กับหลายหน่วยงาน รวมถึงองค์การเภสัชกรรมด้วย
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งใช้อาสาสมัครในขั้นนี้จำนวน 210 ราย ผลการทดสอบในอาสาสมัคร พบ มีผลข้างเคียงอยู่ในระดับน้อยและสามารถหายได้เอง อาการทั่วไปที่พบได้แก่ ปวด บวม บริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ วัคซีนสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี
วัคซีน HXP-GPOVac อยู่ระหว่างการเตรียมทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 โดยคาดว่าจะสามารถทำการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 3 ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 และจะสามารถขอขึ้นทะเบียนวัคซีนได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565
วัคซีน Covigen วัคซีนโควิด 19 ชนิด DNA รุ่นแรก
คุณวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ผู้พัฒนา วัคซีน Covigen วัคซีนโควิด 19 ชนิด DNA กล่าวว่า การพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของบริษัทดำเนินการตั้งแต่การวิจัยพัฒนาในห้องปฏิบัติการจนกระทั่งถึงการทดสอบในสัตว์ทดลอง ทั้งหมดใช้ระยะเวลา 90 วัน ทางบริษัทเชื่อว่าวัคซีนรูปแบบที่ใช้สารพันธุกรรมในการผลิตจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการพัฒนาวัคซีน
โดยเฉพาะการพัฒนาวัคซีนที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น เพื่อตอบสนองต่อโรคอุบัติใหม่ และมีความเชื่อว่าต่อไปการพัฒนาวัคซีนจะมีการใช้เทคโนโลยีนี้มากขึ้น วัคซีน Covigen ซึ่งเป็นวัคซีนรุ่นแรก ได้เข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ที่ออสเตรเลีย ในช่วงเดือนเมษายน 2564 และต่อมาบริษัทได้เริ่มการพัฒนาวัคซีนต่อไวรัสกลายพันธุ์ในช่วงเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ สำหรับการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ในประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาสแรกของปี 2565
ทั้งหมดคือความคืบหน้า "วัคซีนโควิด-19" สัญชาติไทย ซึ่งเป็นความหวังของคนไทยในการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 ในหลากหลายรูปแบบไว้เป็นทางเลือกได้ในอนาคต