4 กุมภาพันธ์ “วันมะเร็งโลก” รู้จักมะเร็งให้มากกว่าเดิม เจอเร็วหายขาดได้
4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี องค์การอนามัยโลกและสมาคมต่อต้านมะเร็งสากลกำหนดให้ เป็น วันมะเร็งโลก World Cancer Day เพื่อให้ตระหนักถึงภัยมะเร็งที่มีแนวโน้มผู้ป่วยรายใหม่และผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงขึ้นทุกปี ขณะที่ไทยเองโรคมะเร็งครองแชมป์คร่าชีวิตอันดับ 1 มายาวนาน รู้จักมะเร็งให้มากขึ้นพร้อมวิธีป้องกัน และรักษา และหากคัดกรองพบในระยะแรกๆ สามารถหายขาดได้!
องค์การอนามัยโลกและสมาคมต่อต้านมะเร็งสากลกำหนดให้ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันมะเร็งโลก (World Cancer Day) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วโลก มีความรู้ มีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับโรคมะเร็ง สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็ง หลังจากพบว่ามะเร็งคือแชมป์อันดับ1 ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปถึงปีละ 7,600,000 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบในกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางถึงร้อยละ 70 ของคนทั่วโลก ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องคาดการณ์ว่าปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มถึง 13 ล้านคนทั่วโลก
สำหรับในประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในไทย ติดต่อมากว่า 20 ปี จากสถิติทะเบียนมะเร็งประเทศไทย โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2565 รายงานว่า มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 400 คนต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โรคมะเร็ง ที่พบมาก 5 อันดับแรกในคนไทย ได้แก่
- มะเร็งตับและท่อน้ำดี
- มะเร็งปอด
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- ทวารหนักและมะเร็งปากมดลูก
ผู้ชายป่วยมากที่สุดได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้และทวารหนัก มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนในผู้หญิงได้แก่มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากการใช้ชีวิตแบบคนเมือง นิยมกินแต่เนื้อสัตว์ กินผักผลไม้น้อย ออกกำลังกายน้อย
รู้จักมะเร็งทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเป็นมากขึ้น ?
มะเร็ง (cancer) คือ เนื้องอกชนิดร้าย (malignant tumor) เป็นก้อนเนื้อที่เกิดจากการแบ่งเซลล์ผิดปกติ และลุกลามหรือแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่ออื่น ๆ ผ่านระบบหมุนเวียนเลือด เซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วผิดปกติ ลุกลามและแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ ส่งผลให้เซลล์ปกติอื่น ๆ ในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
เคยสงสัยไหมคะว่า มะเร็ง กับ เนื้องอก ต่างกันอย่างไร ?
เนื้องอก (tumor) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
- เนื้องอกชนิดธรรดา (benign tumor)
- เนื้องอกชนิดร้าย (malignant tumor)
ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงมะเร็งมักจะหมายถึง “เนื้องอกชนิดร้าย” ซึ่งก้อนเนื้อดังกล่าวจะเจริญอย่างรวดเร็ว แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและหลอดน้ำเหลือง ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ดังนั้น มะเร็งจึงเป็นโรคที่มีอาการรุนแรง เรื้อรัง มีขั้นตอนการรักษาที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน
ในขณะที่เนื้องอกมักจะหมายความถึง “เนื้องอกชนิดธรรมดา” คือมีก้อนเนื้อผิดปกติ แต่เจริญช้า ไม่ลุกลามเข้าสู่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง แต่จะกดหรือเบียดเนื้อเยื่ออื่นเมื่อก้อนเนื้อนั้นโตขึ้น ไม่ลุกลามหรือแพร่กระจายทางกระแสเลือดและหลอดน้ำเหลือง สามารถรักษาได้โดยการผ่าตัด
การเกิดมะเร็งจากกรรมพันธุ์มีเพียง 5-10 % เท่านั้น นั้นหมายความว่า มะเร็งส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมเป็นหลัก แนะ วิธีป้องกันมะเร็งทุกชนิดด้วยหลัก 5 ทำ 5 ไม่
5 ข้อพฤติกรรมต้องทำเป็นนิสัย
- ออกกำลังกายเป็นนิสัย มีรายงานการวิจัยพบว่า ช่วยลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ ความอ้วน ความเครียด เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยลดความเครียดและ ไขมันในร่างกายได้ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ ละ 30 นาที และเป็นแบบต่อเนื่อง
- จิตใจแจ่มใส ความเครียดเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลงและส่งเสริมการเกิดโรคมะเร็งได้ การทำจิตใจให้แจ่มใสช่วยคลายเครียดและส่งเสริมภูมิต้านทานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้มีภูมิต้านทานโรคมะเร็งได้ด้วย
- กินผักผลไม้ นอกจากจะมีสารต้านมะเร็ง ได้แก่ แอนติออกซิแดนซ์ (Antioxidant) ได้แก่ วิตามินเอ ซี อี สารเบตาแคโรทีน สารไลโคปีน สารไอโซฟลาโวนอยด์ หรือเรียกรวม ๆ ว่า Dietary Cancer Chemo Preventive Agents และยังมีเส้นใยอาหารที่ทำหน้าที่คล้ายแปรงไปกระตุ้นผนังลำไส้ให้สร้างเมือก มากขึ้น ทำให้เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับเยื่อบุผิวลำไส้ใหญ่และลดการเกิดโรคมะเร็งได้
การวิจัยผักและผลไม้พบสารต้านมะเร็ง ได้แก่ ขิง ชาเขียว องุ่นแดง น้ำผึ้ง กระเทียม มะเขือเทศ แครอท กะหล่ำปลี และบรอกโคลี เป็นต้น ทั้งนี้ควรกินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารในแต่ละมื้อหรือประมาณ 500 กรัม / วัน
- กินหลากหลาย ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากกว่า 1 ใน 3 มีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงทางด้านอาหาร โดยเฉพาะการบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูงและไขมันสูง อาหารหมักดองเค็มและเนื้อสัตว์ตากแห้งที่ใส่ดินประสิว แอฟลาทอกซิน (Aflatoxin) จากอาหารที่มีเชื้อรา เช่น ถั่วลิสงคั่ว พริกแห้ง ทำให้เกิดมะเร็งตับได้ เนื้อสัตว์ปิ้ง ย่าง ทอด รมควัน มีสารก่อมะเร็ง ซึ่งการกินอาหารครบ 5 หมู่ไม่ซ้ำซาก จำเจ และใหม่สด สะอาด ปราศจากเชื้อรา ลดอาหารที่ไขมันสูง อาหารปิ้ง ย่าง จะช่วยลดการเกิดมะเร็งได้
- ตรวจร่างกายเป็นประจำ การคัดกรองโรคเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย เพื่อที่จะทำให้รู้ว่าท่านอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดใดหรือไม่ เพื่อวางแผนเฝ้าระวังหรือการรักษาได้อย่างถูกต้อง หากตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถรักษาได้ เพราะมะเร็งยังไม่ลุกลาม แม้การป้องกันมะเร็งไม่สามารถได้ผล 100% ดังนั้นการตรวจค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรกจึงมีความสำคัญ อย่างน้อยปีละ2 ครั้ง โยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 35 ขึ้นไป
5 ไม่ พฤติกรรมควรหลีกเลี่ยง
- ไม่สูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต และมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งควันบุหรี่ มีสารน้ำมันทาร์และสารเคมีมากกว่า 4,000 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้มากกว่า 60 ชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง 80% ของโรคมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ สำหรับผู้ที่สูบบหรี่ ถ้าหยุดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่นสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปอดได้ 60 – 70%
- ป้องกันเพศสัมพันธ์ให้ปลอดภัย สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะมีความเสี่ยงกับการติดเชื้อ HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อมะเร็งปากมดลูก
- ไม่ดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ในสุราจะมีความเสี่ยงกับมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร ผู้ที่ดื่มสุรามากกว่า 60 กรัมของเอทิลแอลกฮอล์ต่อวัน (3 แก้ว) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเป็น 9 เท่าของผู้ที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าดื่มสุรามากกว่า 60 กรัมของเอทิลแอลกฮอล์ และเป็นผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 มวนต่อวันด้วย จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเป็น 50 เท่า
- หลีกเลี่ยงแสงแดดแรง การตากแดดในปริมาณเล็กน้อยในช่วงเช้าหรือเย็นสามารถช่วยผลิตวิตามิน D ได้แต่กลับกันหากตากแดดที่แรงมากๆจะเป็นอันตราย เพราะในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง รอยเหี่ยวย่น ผิวหนังเปลี่ยนแปลง และต้อกระจกด้วย ทั้งนี้ควร ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF (Sun Protection Factor) มากกว่าหรือเท่ากับ 15 ขึ้นไป และหมั่นตรวจเช็กผิวหนังตัวเองเป็นประจำ
- ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ
การกินปลาน้ำจืดที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ตับอยู่ในเนื้อปลาที่มีเกล็ดตระกูลปลาตะเพียน อาทิปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาขาว ปลาเกล็ดขาว ปลาแม่สะแด้ง ซึ่งการบริโภคดิบ ๆ หรือปรุงแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ลาบปลา พยาธิตัวอ่อนจะเข้าเจริญเติบโตเป็นตัวแก่อาศัยอยู่ในท่อน้ำดีตับ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผนังท่อน้ำดีและท่อน้ำดีอุดตัน มีการอักเสบเรื้อรัง เนื้อตับตาย ทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดีในตับและพบมากในภาคอีสาน
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการสังเกตตัวเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ไม่แพ้กับการคัดกรองที่ไม่ควรละเลย อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงด้านไหนควรพบแพทย์เพื่อคัดกรอง ตรวจวินิจฉัยทางรังสี เช่น การตรวจ CT scan การตรวจ MRI ก็เป็นการตรวจเพื่อให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการแพร่กระจาย และระยะของโรคมะเร็ง เป็นต้น
10 ธันวาคม “วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” เช็กสัญญาณเตือน-วิธีป้องกันให้ห่างไกลโรค
7 พฤติกรรมก่อโรคมะเร็ง เลี่ยงได้ช่วงลดโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต
การคัดกรองมะเร็ง
- มะเร็งเต้านม แนะนำให้ตรวจแมมโมแกรมในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
- มะเร็งปากมดลูก แนะนำให้ตรวจคัดกรองในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป โดยอาจตรวจด้วยวิธี Pap test หรือ HPV test
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ แนะนำให้ตรวจคัดกรองในผู้มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป มีวิธีการตรวจโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ และการตรวจอุจจาระ
- มะเร็งต่อมลูกหมาก แนะนำให้ตรวจคัดกรองในผู้ชายอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ใช้วิธีการตรวจค่า PSA ในเลือด
ขณะที่การตรวจคัดกรอง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด คำแนะนำในปัจจุบันยังให้ทำเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเท่านั้น
วิธีการรักษาโรคมะเร็ง
การรักษาโรคมะเร็ง ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค ทั้งยังแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล วิธีการรักษาหลักๆ ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด และในปัจจุบันเราอาจจะเคยได้ยินวิธีการรักษาโรคมะเร็งโดยการใช้ยามุ่งเป้า และภูมิคุ้มกันบำบัดกันมากขึ้น ซึ่งการรักษาทั้งสองอย่างนี้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ที่พลิกโฉมวงการการรักษาโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก
ทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง?
ต้องตั้งสติก่อนอันดับแรก ซึ่งผู้ป่วยควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เป็นว่า เป็นมะเร็งชนิดไหน ระยะใด มีแนวทางในการรักษาอย่างไรบ้างเพื่อเตรียมความพร้อมของทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนในครอบครัว
สุดท้ายแล้ว “มะเร็ง” จะน่ากลัวอย่างที่คิดหรือไม่? ขอให้ทุกท่านเป็นผู้ตัดสิน แต่อย่าลืมว่า ในปัจจุบันมะเร็งไม่ใช่โรคที่สิ้นหวังอีกต่อไป การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าเป็นระยะแพร่กระจายแล้ว อาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ยังมีการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่ได้ยาวนานขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ,โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ,โรงพยาบาลพญาไท,กรมการแพทย์และสสวท.
“กรดไหลย้อน” ปล่อยไว้นานเสี่ยง “มะเร็งหลอดอาหาร” ได้ แล้วอะไรคือสัญญาณโรค?
สัญญาณมะเร็ง 3 อันดับคร่าชีวิตผู้หญิง เจอเร็วโอกาสหายสูง ลดการเสียชีวิต