WHO เผย มีหลักฐานมากขึ้นว่าโควิด-19 “โอมิครอน” อาจไม่รุนแรงจริง ๆ
นักวิเคราะห์คาด จีนอาจดำเนินมาตรการล็อกดาวน์-กักตัวเข้มงวดจนถึงปี 2023
กราฟยอดผู้ติดเชื้อใหม่ของสหราชอาณาจักร ข้อมูลล่าสุดของวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 218,724 ราย ถือเป็นครั้งแรกที่สหราชอาณาจักรพบผู้ติดเชื้อในรอบ 24 ชั่วโมงเกิน 2 แสนราย และยังเป็นตัวเลขที่มากที่สุดเท่าที่มีการระบาดมา
ส่วนยอดผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีเท่าไหร่แล้ว ข้อมูลล่าสุดของวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนสะสมในสหราชอาณาจักรมี 246,780 ราย โดยในจำนวนนี้มากกว่า 2 แสนรายอยู่ในอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อใหม่สูงที่สุด แต่ในมุมของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน มองว่า สหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอังกฤษ ที่ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ที่นี่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศล็อกดาวน์ และรัฐบาลจะยังคงใช้ แผนบี ในการควบคุมการระบาดต่อไป ซึ่งได้แก่ การบังคับสวมใส่หน้ากาอนามัยในที่สาธารณะ การรณรงค์ให้คนไปเข้ารับวัคซีนบูสเตอร์โดส แต่ไม่ได้ห้ามการรวมกลุ่มหรือปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นแต่อย่างใด
หนึ่งในเหตุผลที่ นายกรัฐมนตรี อังกฤษ ยืนยันว่าจะไม่ยกระดับมาตรการก็เพราะ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ระบบสาธารณสุขของอังกฤษยังรับมือไหว โดยย้ำว่า แม้โควิดโอมิครอนจะแพร่ระบาดรวดเร็ว ทำคนติดเชื้อมากและเพิ่มจำนวนคนที่ต้องนอนโรงพยาบาลมากตามไปด้วย แต่ความแตกต่างจากระลอกก่อนหน้าก็คือ จำนวนคนที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในห้องไอซียูมีน้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตามยอมรับว่า อีกปัญหาที่จะเกิดตามมาในสัปดาห์นี้คือการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ เพราะมีหลายคนติดเชื้อ หรือสัมผัสเสี่ยงสูงทำให้ต้องกักตัว
คำประกาศล่าสุดจากผู้นำสอดคล้องกับความคิดเห็นของซาจิด จาวิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ต้องยกระดับมาตรการจากแผนบี พร้อมย้ำว่า อังกฤษคืบหน้าในการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสไปมาก เพราะฉีดในประชากรผู้ใหญ่ไปแล้วมากกว่าร้อยละ 75
นับตั้งแต่โอมิครอนระบาดช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน สหราชอาณาจักรก็ระดมฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้ประชาชน ด้วยเป้าหมายฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แก่ประชากรที่มีอายุมากกว่า 18 ปีทุกคนให้ครบ ปัจจุบันทำได้เท่าไหร่แล้ว? ข้อมูลจากสาธารณสุข ปัจจุบันสหราชอาณาจักรฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วร้อยละ 90.1 ของประชากร เข็มที่สองฉีดได้ร้อยละ 82.6 ส่วนบูสเตอร์โดสฉีดไป ร้อยละ 60
อังกฤษเปิดเรียนตามปกติ ตรวจเชื้อก่อน-ใส่หน้ากากเรียน
ในวันเดียวกันกับที่พบผู้ติดเชื้อสูงที่สุด เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมาเป็นวันแรกที่นักเรียนในอังกฤษกลับไปเรียน หลังหยุดยาวในช่วงคริสต์มาส โดยบรรยากาศของโรงเรียนแห่งหนึ่งในอังกฤษ ที่ก่อนจะเข้าห้องเรียนได้ นักเรียนและบุคลากรทุกคนต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อแบบ ATK รวมถึงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในห้องเรียน ในการตรวจเมื่อวานนี้ มีบางคนถูกพบว่าติดเชื้อ และถูกส่งตัวกลับบ้านทันที
อย่างไรก็ตามมาตรการคัดกรองนี้มีปัญหาตามมานั่นคือ การขาดแคลนแรงงาน โดยคาดกันว่าแต่ละภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน สถานพยาบาล ไปจนถึงธุรกิจต่างๆ จะขาดแคลนแรงงานไปร้อยละ 25 เนื่องจากบุคลากรของพวกเขาติดเชื้อ หรือต้องกักตัว
ฝรั่งเศสเตรียมใช้"วัคซีนพาส" ท่ามกลางข้อถกเถียง
อีกประเทศที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดคือ ฝรั่งเศส เพราะล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงทุบสถิติเกิน 2 แสน 5 หมื่นคนเป็นครั้งแรกจากการระบาดของโควิดโอมิครอน ยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดของวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 271,686 ราย เพิ่มขึ้นจากวันปีใหม่ที่พบราว 2 แสนราย และเป็นครั้งแรกที่ฝรั่งเศสพบผู้ติดเชื้อใหม่เกิน 250,000 ราย ด้วยอัตราดังกล่าวถูกเปรียบเทียบว่า เสมือนมีชาวฝรั่งเศสติดเชื้อใหม่เพิ่ม 2 คน ทุกๆ 1 วินาที ส่งผลให้คาดกันว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่อาจสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะหลัก 3 แสนในเร็ว ๆ นี้
ท่ามกลางสถานการณ์น่ากังวล รัฐบาลพยายามป้องกันด้วยการออกวัคซีนพาส กำหนดให้ผู้ที่จะเข้าสถานที่สาธารณะต้องฉีดวัคซีนครบแล้ว รวมไปถึงยังกำหนดมาตรการนี้ในการใช้ระบบขนส่งมวลชนด้วยกัน อย่างไรก็ตามความพยายามที่จะออกกฎหมายใหม่นี้เผชิญกับเสียงต่อต้านจากฝ่ายค้าน และยังไม่ได้ข้อสรุปในสภา นั่นหมายความว่า จนถึงตอนนี้การจะเข้าใช้บริการที่สาธารณะ ร้านอาหาร หรือสถานที่ต่างๆ ผู้คนยังต้องโชว์หลักบานการฉีดวัคซีน หรือผลตรวจที่เป็นลบอยู่
หากกฎหมายนี้ผ่านจะเป็นการยกระดับความเข้มงวดไปอีกขั้น เพราะสำหรับคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ต่อให้พวกเขามีผลตรวจเป็นลบ ก็ไม่สามารถเข้าใช้บริการต่างๆ ได้อยู่ดี ถ้ายังไม่ได้ฉีดวัคซีน
โดย โอลิวิเยร์ เวรอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้ไม่ได้มีเพื่อลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลดังที่กลุ่มต่อต้านอ้าง แต่มีเพื่อรักษาชีวิตของประชาชน
อย่างไรก็ตามในมุมของนักการเมืองที่ต่อต้าน วัคซีนพาสคือการเลือกปฏิบัติที่พวกเขายอมรับไม่ได้
ดราม่าเรื่องวัคซีนพาสในฝรั่งเศส ถูกซ้ำต่อด้วยประเด็นถ้อยคำของผู้นำประเทศ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ตัวเขาอยากจะขัดขวางคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน และทำให้ชีวิตของพวกเขายากลำบาก
คำพูดดังกล่าวถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะทั้งประชาชนและนักการเมืองบางส่วนมองว่า ไม่ควรเป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผู้นำประเทศ และคาดกันว่าคำกล่าวล่าสุดนี้อาจส่งผลให้ร่างกฎหมายวัควีนพาสผ่านมติยากขึ้นไปอีก
ปัจจุบันฝรั่งเศสฉีดวัคซีนครบโดสให้ประชากรไปแล้วร้อยละ 73 / ส่วนอัตราการฉีดบูสเตอร์โดสอยู่ที่ร้อยละ 33.2