ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ยูเครนได้เริ่ม “ปฏิบัติการโต้กลับ” ในพื้นที่ทางใต้ที่ถูกรัสเซียยึดไปบริเวณภูมิภาคเคอร์ซอน และมีรายงานความคืบหน้าในการยึดพื้นที่คืนทีละเล็กละน้อยอยู่เป็นระยะ
แต่ความจริงแล้ว เคอร์ซอนเป็นเพียงตัวหลอกเท่านั้น เพราะจู่ ๆ กองทัพยูเครนได้บุกตีแบบสายฟ้าแลบพื้นที่บริเวณภูมิภาคคาร์คิฟทางตะวันออกเฉียงเหนือด้านที่ติดกับลูฮานสก์ จนรัสเซียต้องถอยทัพ และสามารถยึดพื้นที่คืนมาได้ถึง 3,000 ตร.กม.
วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน “ไม่จบในปีนี้” อาวุธขั้นสูงคือกุญแจจบสงคราม?
“จะไม่กลับบ้าน” เปิดใจทหารอาสาต่างชาติในยูเครน
รัสเซียชะลอแผนผนวกเคอร์ซอน หลังยูเครนเร่งยึดพื้นที่คืน
หากตัวเลขดังกล่าวได้รับการยืนยันเป็นความจริงจะหมายความว่ากองทัพยูเครนสามารถยึดคืนพื้นที่ได้เพิ่มเป็น 3 เท่าในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง เพราะก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ยูเครน เซเลนสกี อ้างตัวเลขพื้นที่ที่กองทัพยูเครนสามารถยึดคืนได้ 1,000 ตร.กม. เมื่อเย็นวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. และเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตร.กม. เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 10 ก.ย.
ผู้สนับสนุนปูตินแนะกองทัพรัสเซียเร่งเปลี่ยนแผน หลังแพ้ยับจนเสียพื้นที่
มีการประเมินว่า ที่รัสเซียอาจจะพลาดท่าขนาดนี้ เป็นเพราะแบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปรับมือปฏิบัติการโต้กลับทางใต้ รวมถึงกำลังบางส่วนที่พยายามยึดแคว้นโดเนตสก์ ทำให้กำลังพลอาจจะไม่เพียงพอ ประกอบกับการเตรียมตัวและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่พรั่งพร้อม
มีรายงานว่าหลังถูกโจมตีสายฟ้าแลบ กองทัพรัสเซียต้องถอยร่นไปยังพื้นที่ยูเครนตะวันออก และพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ถูกรัสเซียยึดไว้ได้ตั้งแต่เดือน มี.ค. กลับมาอยู่ในความควบคุมของยูเครน หมู่บ้านหลายแห่งกลับมาชูธงชาติยูเครนได้อีกครั้งในรอบหลายเดือน
เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) กองทัพยูเครนได้เปิดเผยว่า กองกำลังรัสเซียได้ถอนกำลังออกจกเมืองสวาโตฟ ในภูมิภาคลูฮานสก์ ซึ่งเมืองดังกล่าว ห่างจากพรมแดนยูเครน-รัสเซียไม่ถึง 50 กิโลเมตร และเป็นศูนย์กลางสำคัญของเส้นทางต่าง ๆ ที่กองทัพรัสเซียใช้ในการส่งกำลังลำเลียงไปยังพื้นที่สู้รบในแนวหน้า
นอกจากนี้กองทัพยูเครนยังเชื่อว่ากองกำลังรัสเซียอาจถอนทหารออกจากเมืองอื่น ๆ ในภูมิภาคลูฮานสก์ด้วย โดยเฉพาะที่ภูมิภาคคาร์คีฟ ทางภาคตะวันออก ซึ่งเป็นสมรภูมิหลักที่ยูเครนเปิดปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่ปรากฏว่า รัสเซียได้ล่าถอยจากหลายเมืองเช่นกัน ทั้งอิเซียม คูเปียนสก์ และบาลาคลียา โดยทหารยูเครนเข้าครอบครองพื้นที่เหล่านี้ได้ตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในการปราศรัยกับประชาชนทั่วประเทศ ในวาระครบ 200 วัน นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มเปิดฉากรุกราน ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกีกล่าวขอบคุณกองกำลังยูเครน ที่ปลดปล่อยเมืองสำคัญทั้ง 3 แห่งในคาร์คีฟได้สำเร็จ รวมทั้งชุมชนและหมู่บ้านต่าง ๆ หลายร้อยแห่ง
ที่ผ่านมา ทั้งยูเครน ไปจนถึงสหรัฐฯ ต่างออกมาพูดถึงแต่ปฏิบัติการโต้กลับในพื้นที่ทางใต้ จนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทหารรัสเซียมากกว่า 10,000 นายเคลื่อนกำลังพลไปยังเคอร์ซอนเพื่อปกป้องพื้นที่ที่ยึดมาได้
แน่นอนว่ามีการโจมตีจากยูเครนในพื้นที่ทางใต้จริงอย่างที่มีการรายงานมาโดยตลอด แต่นั่นเป็นเพียงกลยุทธ์ “ส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิม” เท่านั้น (แม้ในกรณีนี้ควรจะเรียกว่าเป็น ส่งเสียงทักษิณ ตีฝ่าบูรพาก็ตาม) เมื่อเป้าหมายแท้จริงของยูเครนอยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีการประโคมข่าวไปหลายร้อยกิโลเมตร ทำให้รัสเซียยากจะตอบโต้ ในขณะเดียวกันก็สะท้อนความบกพร่องในด้านระบบข่าวสารข่าวกรองของฝ่ายรัสเซียด้วย
กองกำลังพิเศษของยูเครนยอมรับว่า การโจมตีทางใต้ของยูเครนที่มีการเผยแพร่ประโคมข่าวไปอย่างมากมายนั้น เป็นแผนการบิดเบือนข้อมูล
ด้าน คาเทรีนา สเตปาเนนโก จากสถาบันสงครามศึกษา กล่าวว่า แผนลวงของยูเครนครั้งนี้ได้ผลเต็ม ๆ
“เจ้าหน้าที่กองทัพยูเครนรายงานว่า กองทัพรัสเซียในเขตตะวันออกได้ส่งกำลังไปยังภูมิภาคทางใต้ ... ทำให้ทางตะวันออกเหลือแต่ทหารอาสาสมัครคอซแซค หน่วยอาสาสมัคร หน่วยทหารจากโดเนตสก์-ลูฮํนสก์ และกองกำลังพิทักษ์ชาติรัสเซีย (Rosgvardia) ซึ่งเป็นกองกำลังปราบม็อบ กองกำลังเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะปกป้องแนวหน้าที่กว้างใหญ่และซับซ้อน” สเตปาเนนโกกล่าว
เธอเสริมว่า กองกำลังยูเครนยังเลือกจุดป้องกันที่อ่อนแอที่สุดของรัสเซียสำหรับการรุกครั้งนี้ โดยเป็นพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทหารรักษาการณ์ลูฮํนสก์และกองกำลังพิทักษ์ชาติ ของรัสเซียอยู่ด้านหลัง ซึ่งรับมือการโจมตีด้วยยานหุ้มเกราะสมรรถนะสูงไม่ไหว
ในขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมรัสเซียไม่ได้ออกมาบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการพลาดท่าเสียที แต่ชี้แจงว่า การถอนกำลังออกจากเมืองอิเซียมและคูเปียสก์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทหารรัสเซียจัดเป็นกลุ่มใหม่ในดินแดนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียสนับสนุน ส่วนทหารที่ถอนกำลังออกจากเมืองบาลาคลียา จะถูกโยกย้ายไปสนับสนุนกำลังในแนวรบของภูมิภาคโดเนตสก์
เรียบเรียงจาก CNN
ภาพจาก AFP
เคลื่อนพระบรมศพ "ควีนเอลิซาเบธ" เปิดหมายกำหนดการพระราชพิธีสำคัญ 19 ก.ย. 65