รัสเซียเตรียมนำขีปนาวุธข้ามทวีป “ซาร์มัต” เข้าประจำการ

ระหว่างการปราศรัยต่อผู้สำเร็จการศึกษาของสถาบันทางการทหารของรัสเซีย ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาหน่วยรบติดอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถใช้งานได้ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างหลักประกันด้านความมั่นคงทางทหารให้กับรัสเซียและสร้างเสถียรภาพให้กับประชาคมโลก

ปูตินเปิดเผยว่า ขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป “ซาร์มัต” (Sarmat) รุ่นใหม่จะถูกนำเข้าประจำการเพื่อภารกิจสู้รบในเร็ววันนี้

 

 

โดยขีปนาวุธรุ่นดังกล่าวถูกออกแบบมาให้ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ไม่ต่ำกว่า 10 ลูก

ส่วนสถานการณ์สู้รบในยูเครน ผู้นำรัสเซีย ระบุว่าฝ่ายยูเครนที่เปิดฉากปฎิบัติการรุกลับตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวทางทหารที่เริ่มหยุดนิ่ง ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะว่ายูเครนเผชิญความสูญเสียอย่างหนักทั้งในด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ

ขณะที่ ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนยอมรับว่าปฏิบัติการรุกกลับเพื่อยึดคืนดินแดนจากรัสเซียมีความคืบหน้าน้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่ย้ำว่าการสู้รบมีชีวิตของประชาชนเป็นเดิมพัน ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับภาพยนต์ฮอลลีวูดที่เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีอย่างที่หลายคนคาดหวัง

ยูเครนมีแผนใช้อาวุธจากชาติตะวันตกโจมตีรัสเซีย

ยูเครนยึดหมู่บ้านคืนเพิ่มจากรัสเซีย 8 แห่ง กว่า 100 ตารางกิโลเมตร

ยูเครน ระเบิดคลังแสงสำคัญของรัสเซียในแคว้นเคอร์ซอน

โดย เซเลนสกีย้ำว่าปฏิบัติการรุกกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรัสเซียได้วางกับระเบิดในดินแดนยูเครนมากถึง 2 แสนตารางกิโลเมตร ดังนั้นการคลื่อนกำลังพลไปข้างหน้าจะต้องเลือกใช้วิธีการที่พิจารณาแล้วว่าเหมาะสมที่สุด

ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ประกาศต่อที่ประชุมว่าด้วยการฟื้นฟูยูเครน ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐจะจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของยูเครน เพิ่มอีก 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 45,000 ล้านบาท แต่เน้นว่า ท้ายที่สุดแล้ว รัสเซียต้องเป็น “ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด”

เงินจำนวนดังกล่าวที่บลิงเคนกล่าวถึง เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติแล้วโดยรัฐสภาสหรัฐแล้ว โดยนับตั้งแต่สงครามเกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.พ. ปีที่แล้ว สหรัฐฯได้ความช่วยเหลือหลากหลายด้านแก่ยูเครน รวมเป็นมูลค่ามากกว่า 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการมอบความช่วยเหลือด้านอาวุธและความมั่นคง