กองทัพอากาศอิสราเอลเปิดเผยเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ว่า ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเป้าหมายทางทหารทั่วซีเรียได้ทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศไปแล้ว 86% ซึ่งรวมถึงระบบยิงขีปขาวุธจากรัสเซีย ทำให้ขณะนี้อิสราเอลสามารถครอบครองน่านฟ้าของซีเรียเอาไว้ได้ทั้งหมด
เจ้าหน้าที่กองทัพอิสราเอลเชื่อว่า การครอบครองน่านฟ้าซีเรียจะทำให้เครื่องบินรบในสังกัดสามารถโจมตีเป้าหมายในอิหร่านได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น โดยขณะนี้กองทัพอากาศอิสราเอลได้ยกระดับการเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง หากต้องเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีอิหร่าน
ในอดีต เครื่องบินรบของอิสราเอลไม่สามารถบินเข้าสู่น่านฟ้ากรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียได้โดยตรง แต่เวลานี้ อุปสรรคดังกล่าวได้หมดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งอิสราเอลยังสามารถส่งโดรนสังเกตุการณ์ในกรุงดามัสกัส โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัยของรัสเซียยิงตกอีกต่อไป
ขณะที่กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เชื่อว่า การที่กลุ่มติดอาวุธตัวแทนของอิหร่านในตะวันออกกลางอ่อนแอลงและการล่มสลายของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด คือโอกาสสำหรับการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
โดยอิสราเอลประเมินว่า อิหร่านอาจเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์และพัฒนาระเบิด เนื่องจากถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นจากการล่มสลายของรัฐบาลในซีเรียและความอ่อนแอของกลุ่มติดอาวุธตัวแทน
สำหรับอิหร่าน แม้จะยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่มีนโยบายครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และสำนักงานปรมาณูสากลระบุว่า อิหร่านยังคงพัฒนาโครงการนิวเคลียร์เกินกว่าความจำเป็นด้านพลเรือน
เช่นเดียวกับรัฐบาลอิสราเอลที่วิจารณ์อิหร่านว่าไม่เคยยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างจริงจัง โดยได้ซุกซ่อนสถานที่เหล่านี้ไว้ภายใต้ภูเขาที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
รอบนี้หนาวนาน! อุตุฯเตือนอากาศหนาว 17 -27 ธ.ค. ภาคใต้ฝนตกหนัก!
วันหยุดปีใหม่ 2568 เพิ่มวันหยุดพิเศษ วางแผนหยุดยาว 5 วันรวด
ข้อแตกต่าง ยาพาราเซตามอล และ ยาไอบูโพรเฟน แก้ปวดเหมือนกันแต่ใช้ต่างกัน!
ส่วนความเคลื่อนไหวในซีเรีย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. สำนักงานกิจการการเมืองของรัฐบาลเปลี่ยนผ่านได้ออกแถลงการณ์ขอบคุณ อียิปต์ อิรัก ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จอร์แดน บาห์เรน โอมาน และอิตาลี ที่กลับมาเปิดสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงดามัสกัส
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ออกแถลงการณ์ เตรียมกลับมาเปิดสถานเอกอัครราชทูตที่ซีเรียในอนาคตอันใกล้นี้ หลังปิดไปตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สงครามกลางเมืองในซีเรียเริ่มต้นขึ้น
ด้าน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า “กระบวนการเปลี่ยนผ่านและรัฐบาลใหม่ของซีเรียต้องปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการเคารพสิทธิของชนกลุ่มน้อย อำนวยความสะดวกให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็น ปกป้องซีเรียจากการถูกใช้เป็นฐานของกลุ่มก่อการร้ายหรือก่อภัยคุกคามกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างความเชื่อมั่นว่าได้ทำลายคลังอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพอย่างปลอดภัย”
การยอมรับรัฐบาลใหม่ของกรุงดามัสกัส อาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจกับซีเรีย ซึ่งเป็นเงื่อนไขจูงใจที่คณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐฯสามารถต่อรองในช่วงเวลาที่อนาคตของซีเรียยังไม่แน่นอน
โดย ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้มอบหมายให้ บลิงเคน เดินทางเยือนจอร์แดน และ ตุรกี เพื่อหารือเกี่ยวกับการสร้างเสถียรภาพในซีเรีย และความร่วมมือในการปราบปรามกลุ่มไอเอส