แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาของฤดูร้อนในประเทศไทย ที่อุณหภูมิทั่วทุกพื้นที่จะร้อนมากเป็นพิเศษ แต่วินาทีนี้หลายคนคงบ่นออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทำไมถึงร้อนตับแลบขนาดนี้ !” หรือถ้าเป็นภาษาฮิตติดปากวัยรุ่น ก็ประมาณว่า “จะร้อนอะไรเบอร์นั้น !!!”
จากการคาดการณ์ของ กรมอุตุนิยมวิทยา ระหว่างวันที่ 16 – 22 เม.ย. นี้ ระบุว่า อุณหภูมิสูงสุดทั่วประเทศ อยู่ระหว่าง 34 – 44 องศาเซลเซียส ไม่เฉพาะความร้อนจากสภาพอากาศเท่านั้น ที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายตัวในช่วงเวลากลางวัน แต่ในแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังผิวโลก ก็ยังมีรังสียูวีที่คอยแผดเผาผิวหนังของคนเรา จนตอนนี้หลายคนรู้สึกแสบผิวทุกครั้งเมื่อโดนแดด
ข้อมูลจากเว็บไซต์ weatheronline.co.uk ที่ระบุว่า ดัชนียูวี หรือ UV Index ในประเทศไทย ซึ่งวัดจากแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังพื้นผิวโลก ในช่วงที่พระอาทิตย์อยู่บนจุดสูงสุดของท้องฟ้า ในช่วงวันที่ 14 - 21 เม.ย. อยู่ที่ระดับ 12 ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ได้สร้างความตื่นตัวให้กับชาวไทยไม่น้อย โดยเฉพาะผลกระทบจากการออกแดด ในช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มข้นสูง ซึ่งส่งผลทำให้ผิวหนังไหม้ได้ หากอยู่กลางแจ้งนานกว่า 30 นาที
ที่มา: www.weatheronline.co.uk
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วอาจทำให้หลายคนเป็นกังวล ดังนั้น ก่อนออกจากบ้าน ลองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คดูสักนิด ว่าอุณหภูมิในขณะนั้นร้อนขนาดไหน พร้อมดูว่าค่ารังสียูวีเข้มข้นเพียงใด เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกแดด ป้องกันอันตรายจากการถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้
ปัจจุบันมือถือสมาร์ทโฟนไม่ว่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการ IOS หรือ Android ต่างมีแอพพลิเคชั่นรายงานสภาพอากาศ สำหรับให้ผู้ใช้สามารถกดดูได้แบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
สำหรับค่าดัชนียูวีนั้น แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้ (ข้อมูลจาก EPA: United States Environmental Protection Agency)
สีเขียว (0-2) Low : มีผลต่อผิวหนังต่ำ
สีเหลือง (3-5) Moderate : เริ่มมีผลต่อผิวหนัง ควรแต่งกายให้มิดชิด สวมหมวกปีกกว้าง และทาครีมกันแดด
สีส้ม (6-7) High : ควรแต่งกายให้มิดชิด สวมหมวกปีกกว้าง และทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชม.
สีแดง (8-10) Very High : ปฏิบัติเช่นเดียวกับ ระดับสีส้ม แต่ความเข้มข้นระดับนี้เริ่มส่งผลเสียรุนแรงต่อผิวหนังและดวงตา
สีม่วง (มากกว่า 11 ขึ้นไป) Extreme : ควรหลีกเลี่ยงการออกแดด เพราะแสงอาทิตย์จะเผาไหม้ผิวหนัง และส่งผลเสียต่อดวงตาในเวลาไม่กี่นาที
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงนี้ความเข้มข้นของรังสียูวี จะสาดส่องมายังประเทศไทยมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ควรตื่นตระหนกหรือกลัวการออกกลางแจ้ง เพราะเพียงเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำ โดยการสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดปกปิดผิวหนัง การสวมหมวกหรือกางร่ม และการทาครีมกันแดด ก็สามารถปกป้องผิวจากการถูกเผาไหม้ได้แล้ว
ส่วนความกังวลเกี่ยวกับอันตรายต่อดวงตานั้น นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะแสงยูวีนั้น ไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงต่อดวงตา แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากแสงยูวี เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับดวงตา โดยเฉพาะต้อลม และต้อเนื้อ ซึ่งคนไทยเป็นกันมาก แม้ทั้งสองโรคนี้จะไม่ส่งผลต่อการมองเห็นและรักษาได้ง่าย แต่การปกป้องดวงตาจากปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น ลม ฝุ่น และแสงแดด ก็จะช่วยให้การเกิดโรคลดน้อยลงได้