นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในพื้นที่ กทม. พบปัญหาเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายพื้นที่ทำคดีล่าช้า พยายามให้เกิดการไกล่เกลี่ยยอมความให้เรื่องจบลง โดยมักจะไม่แจ้งสิทธิและข้อกฎหมายให้ผู้เสียหายได้รับทราบ เช่นกรณีที่ผู้ปกครองของผู้เสียหายเข้ามาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากลูกสาวที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ถูกเพื่อนร่วมงานข่มขืน คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.58 ผ่านมานาน 7เดือน กว่าตำรวจสถานีตำรวจนครบาลยานนาวาจะรับดำเนินคดี ใน คดีอาญาข้อหาบุกรุกในเวลากลางคืนและข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น
“ผู้ปกครองของผู้เสียหายมีความเครียด ไม่สบายใจอย่างมาก เนื่องจากผู้ก่อเหตุได้รับการปล่อยตัว และยังต้องทนเห็นหน้าในที่ทำงานเดียวกัน ที่ผ่านมาคดีนี้ล่าช้า เจ้าหน้าที่บ่ายเบี่ยงไม่อธิบายขั้นตอนในชั้นสอบสวน ทั้งที่เป็นคดีอุกอาจร้ายแรง”
ทั้งนี้ จากการใช้ความช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ ทำร้ายร่างกาย และความรุนแรงในครอบครัว ส่วนใหญ่พบว่าเมื่อเข้าแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจบางสถานีจะให้ไปไกล่เกลี่ยยอมความ และมีท่วงทำนองที่ไม่เป็นมิตรกับผู้ถูกกระทำ จึงมีข้อเสนอให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนี้
1. ในกรณีคดีอาญาข้างต้นซึ่งเกิดเหตุกับเยาวชนหญิงที่มีความผิดปกติทางสติปัญญา ขอให้เร่งรัดการดำเนินให้เกิดความเป็นธรรมโดยเร็วที่สุด
2. มีนโยบายเร่งรัดการดำเนินคดีความที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศในพื้นที่นครบาล โดยให้พนักงานสอบสวนต้องรับแจ้งความดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ โดยไม่อาศัยช่องว่างของกฎหมายมาตรา 281 ที่เปิดโอกาสให้บุคคลอายุเกิน 15 ปี ในความผิดในเรื่องอนาจาร และบุคคลอายุเกิน 18 ปี ในความผิดเรื่องข่มขืน สามารถยอมความได้ เพื่อมิให้วงจรข่มขืน ไกล่เกลี่ย ยอมความกลายเป็นวัฏจักรที่เอื้อกับพฤติกรรมข่มขืนซ้ำซาก
3. ขอให้พนักงานสอบสวนทำหน้าที่แจ้งสิทธิ เช่น การดำเนินการทางคดี แจ้งขั้นตอนและระยะเวลาในชั้นสอบสวน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายในคดี ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 ให้กับผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ และดำเนินการอย่างเป็นมิตร