โค้งบ้านหลุบเลา ต.ห้วยเตย อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น ได้รับการขนานนามจากทีมกู้ชีพและภาคีเครือข่ายป้องกันอุบัติเหตุในพื้นที่ ให้เป็นโค้งอันตรายในตำนานเนื่องจากลักษณะทางกายภาพของทางโค้ง ที่นอกจากจะไม่ได้เป็นแนวระนาบเดียวกันตลอดทาง ซึ่งปัจจุบันโค้งที่ไม่ได้มาตรฐานวิศวกรรมจราจรเช่นนี้ ส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขจนเกือบหมดไปจากถนนไทยแล้ว
ยังพบว่ามีปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่เพิ่มโอกาสการเกิดอุบัติเหตุร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากป้ายนำทางที่เว้นระยะไม่เท่ากัน ทำให้ผู้ขับขี่เข้าใจว่าหมดระยะทางโค้งแล้ว ไฟริมทางขาดระยะ เส้นจราจรไม่ชัดเจนและเป็นเส้นประ ไฟจากป้ายลูกศรเข้าปั๊มน้ำมันที่คล้ายกับสัญลักษณ์ทางหลวง หรือแม้กระทั่งต้นไม้ริมทางที่บดบังสายตา ทำให้โค้งอันตรายในจุดนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า “โค้งลวงตา” !
“สถิติการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร ระหว่างปี 2557 – 2559 ในพื้นที่ ต.ห้วยเตย – ต.กระนวน อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น ส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 25 เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก และอีกประมาณ ร้อยละ 5 เป็นรถทางการเกษตร มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 37 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 5 ราย”
รุจีวรรณ ยมศรีเคน แสงลุน พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หัวหน้างานการแพทย์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลซำสูง อธิบายภาพรวมและสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน รอบ 3 ปีใน อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น พร้อมเล่าให้ทีมนิวมีเดีย PPTV ฟังว่ารูปแบบของอุบัติเหตุในจุดนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการขับรถข้ามเลนถนนไปพุ่งชนรถที่สวนทางมา หากเป็นการชนในลักษณะประสานงาส่วนใหญ่จะเสียชีวิต โดยเฉพาะถ้าเป็นการชนระหว่างรถมอเตอร์ไซค์กับรถยนต์ และการขับตรงไปพุ่งลงทุ่งนาเพราะคิดว่าหมดระยะโค้งแล้ว
สอดคล้องกับ รศ.ดร.ธเนศ เสถียรนาม อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่บอกว่า ลักษณะทางกายภาพในเวลากลางคืนของโค้งแห่งนี้ไม่ดี เนื่องจากการตีเส้นจราจรเส้นกลางและเส้นขอบถนนไม่ชัดเจน เมื่อผู้ขับขี่มาถึงจุดนี้จะเห็นเหมือนว่าถนนหายไป ทำให้ไม่รู้ว่าถนนมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหน ไม่เพียงเท่านั้นจุดนี้ยังมีถนนจากซอยข้างทางมาเชื่อมพอดี ทำให้กรวดทรายจากซอยกระเด็นขึ้นมาบนผิวถนน ทำให้รถจักรยานยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วเสี่ยงเสียหลักเกิดอุบัติเหตุ ส่วนการยกขอบโค้งจากการมองด้วยตาเปล่า พบว่ามีการยกขอบโค้งแล้วแต่ได้มาตรฐานหรือไม่ ต้องนำเครื่องมือลงพื้นที่ตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง
ระหว่างลงพื้นที่ทีมกู้ชีพเล่าถึงอุบัติเหตุการชนประสานงาครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมาให้ฟังว่ากรณีนี้แม้ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์จะใส่หมอวกันน็อค แต่แรงปะทะจากการชนซึ่งทำให้ผู้เสียชีวิต กระเด็นพุ่งไปกระแทกกระจกรถยนต์คู่กรณี และกระเด็นไถลไปอีกประมาณ 4 เมตร ทำให้สมองเกิดการบาดเจ็บรุนแรงเสียชีวิตในที่สุด จากการลงพื้นที่ของทีมกู้ชีพในคืนนั้นสันนิฐานว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ซึ่งมากจากบ้านหลุบเลา มองไม่เห็นรถยนต์ที่มาจากทาง อ.ซำสูง ประกอบกับสภาพทางโค้งที่เหมือนหมดระยะ จึงขับตัดเลนถนนและเกิดการพุ่งชน
ด้าน สุรพันธ์ ศิลปสุวรรณ นายอำเภอซำสูง จ.ขอนแก่น อธิบายเพิ่มเติมถึงลักษณะทางกายภาพทางโค้งเจ้าปัญหาว่า ในอดีต อ.ซำสูง เป็นอำเภอเล็กๆ ที่แยกตัวมาจาก อ.กระนวน ซึ่งในสมัยก่อนการเดินทางสัญจรจะใช้ทางเกวียนเป็นหลัก การสร้างถนนจึงเป็นการปรับปรุงจากทางเกวียน โดยปรับมาเป็นถนนลูกรังและถนนลาดยางตามลำดับ แต่เนื่องจากพื้นที่สองข้างทางนั้น ส่วนใหญ่เป็นของชาวบ้านที่มีเอกสารสิทธิ์ จึงไม่ได้มีการเวนพื้นที่คืนทำให้สภาพถนน และทางโค้งในปัจจุบันไม่แตกต่างจากสภาพเดิมมากนัก
“ด้วยสภาพถนนที่มีโค้งค่อนข้างมาก ทำให้พื้นที่ อ.ซำสูง มีจุดเสี่ยงอุบัติเหตุมากถึง 6 จุด จุดที่รุนแรงที่สุดคือโค้งบ้านหลุบเลา เพราะจากสถิติชี้ให้เห็นว่าการอุบัติเหตุในจุดนี้มักรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต”
จากการทดสอบขับรถยนต์ผ่านโค้งแห่งนี้ด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. ตามความเร็วที่ระบุไว้ในป้ายริมทาง พบว่ารถมีการสะบัดเล็กน้อย ทีมกู้ชีพจึงเสนอไปยังแขวงการทางที่ 1 ขอนแก่น ว่าการติดป้ายกำกับความเร็วในอัตรา 60 กม./ชม. ไม่สามารถใช้ได้กับทุกโค้งในประเทศไทย โดยโค้งบ้านหลุบเลาจุดนี้ทางเครือข่ายเห็นตรงกันว่า ควรกำหนดความเร็วที่ต่ำกว่า 40 กม./ชม. รวมทั้งทำการทดสอบความเร็วที่เหมาะสมกับทางโค้งทุกแห่ง เพื่อลดปริมาณการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลง
“สำหรับแนวทางแก้ไขในระยะสั้นนั้น เบื้องต้นเครือข่ายได้ทำเรื่องเสนอไปยังแขวนการทางที่ 1 ขอนแก่น เพื่อให้เข้ามาปรับปรุงจุดบกพร่อง เช่น ขอให้มีการติดตั้งไฟกระพริบ หรือหมุดสะท้อนแสงบนพื้นถนน ส่วนในระยะยาวการแก้ไขสภาพทางโค้งนั้น ได้ขอให้แขวงการทางที่ 1 ขอนแก่น เข้ามาศึกษาแนวทางการแก้ไขตามหลักวิศวกรรมจราจรต่อไป”
ทั้งนี้ ภายหลังการลงพื้นที่ทดสอบทัศนวิสัยการขับขี่ เมื่อเร็วๆ นี้ โค้งบ้านหลุบเลาได้รับการแก้ไขปรับปรุง โดยการขยายขอบถนนให้กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างรถที่ขับสวนทาง รวมทั้งเพิ่มป้ายนำทางและปรับปรุงภูมิทัศน์รอบข้าง ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดี ของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่กู้ชีพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายป้องกันอุบัติเหตุ ในการปฏิบัติงานเชิงรุกและส่งต่อข้อมูล ทำให้ในที่สุดจุดเสี่ยงในพื้นที่ได้รับการพิจารณาแก้ไข ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนได้มากขึ้น..