ศาลปกครอง สั่งระงับซื้อรถเมล์ NGV หลังมติบอร์ดมีปัญหา – ชดใช้ 1,159 ล.ให้ เบสท์ริน กรุ๊ป


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในคดีที่บริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมประมูลโครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV จำนวน 489 คันเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ยื่นฟ้องว่า มติของบอร์ด ขสมก. ในการจัดซื้อรถเมล์ NGV 489 คัน กับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก.ครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2560 ที่อนุมัติสั่งซื้อรถเมล์ NGV จำนวน 489 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,891,452,000 บาท และที่อนุมัติสั่งจ้างซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสารจำนวน 489 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 2,369,388,375 บาทกับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ซึ่งได้แก่ บริษัท ช.ทวี จำกัด มหาชน และ บริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด มหาชน โดยมิให้ ขสมก. และคณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. นำมติดังกล่าวไปดำเนินการใดๆ ที่มีผลผูกพันเป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

เนื่องจากศาลเห็นว่า มติคณะกรรมการบริหาร ขสมก.ครั้งที่ 15/2560 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2560  และครั้งที่ 16/2560 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานว่าในการประชุมทั้ง 2 ครั้งดังกล่าวไม่มีการลงมติอนุมัติให้ ขสมก.เข้าทำสัญญา และไม่มีการรับรองรายงานการประชุมดังกล่าว แต่เป็นการพูดของประธานคณะกรรมการบริหาร ขสมก.เพียงคนเดียว

ทั้งนี้ ศาลฯ เห็นว่าการมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการบริหาร ขสมก.นั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดทำบริการสาธารณะในการขนส่งผู้โดยสารในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพราะการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าว 7 ครั้งที่ไม่ประสบความสำเร็จ ขสมก.สามารถให้บริการได้ ด้วยรถโดยสารเดิมและรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ

นอกจากนี้ ศาลปกครองกลางยังมีคำพิพากษาให้ ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายในคดียกเลิกสัญญาจัดซื้อรถเมล์ NGV อย่างไม่เป็นธรรมให้แก่บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป, บริษัท อาร์ แอนด์ เอ คอมเมอร์เชียล วิฮีเคิลส์ เอสดีเอ็น บีเฮชดี, บริษัท รถยนต์เซินหลง (เซี่ยงไฮ้) และบริษัท เทคโนโลยีพลังงานใหม่เป่ยฟังกวางโจว เนื่องจาก ขสมก.เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขาย และจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ(NGV) ตามสัญญาที่ทำไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ศาลฯ สั่งให้ ขสมก.จ่ายเสียหายรวมเป็นเงิน 1,159.97 ล้านบาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 1,147.83 ล้านบาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยเป็นค่าเสียหายจากการไม่ชำระราคาค่ารถเมล์ NGV พร้อมดอกเบี้ย 1,048.50 ล้านบาท ค่าเสียหายจากการก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง 12.09 ล้านบาท ค่าจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถเมล์ NGV จำนวน 98.83 ล้านบาท และค่าเสียหายจากการคืนหนังสือค้ำประกันล่าช้า 5.47 แสนบาท นอกจากนั้น ยังให้คืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารไอซีบีซี ไทย ให้แก่ผู้ฟ้องคดีภายใน 60 วัน

โดยศาลเห็นว่า การที่ ขสมก.ไม่ตรวจรับมอบรถโดยอ้างว่าได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่าให้รอกรมศุลกากรพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้าก่อนหลังจากมีปัญหาถิ่นกำเนิดการนำเข้ารถเมล์ของเบสท์ริน รวมทั้งอ้างว่าส่งมอบรถไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เป็นการขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการตรวจสอบรับและทดสอบรถเมล์ NGV มีมติให้มีการส่งมอบเป็นงวด ๆ ได้

ดังนั้นการที่ ขสมก.อ้างสิทธิตามสัญญาว่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีหาก เบสท์รินฯ ส่งมอบรถไม่ครบตามจำนวน และมีสิทธิริบหลักประกันรวมทั้งสิทธิเรียกค่าเสียหายจาก เบสท์รินฯ ได้นั้นเป็นข้ออ้างที่ไม่อาจรับฟังได้ การบอกสัญญาจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 387 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ส่วนที่ ขสมก.อ้างว่ารถเมล์ NGV ไม่ได้เป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศจีน หรือเป็นรถที่ประกอบในประเทศไทย แต่เป็นรถที่ประกอบขึ้นที่ประเทศมาเลเซียนั้น ศาลเห็นว่า จากประกาศของ ขสมก.เรื่อง การจัดซื้อรถเมล์ NGV พร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษา มิได้ถือแหล่งผลิตหรือแหล่งประกอบรถเป็นสาระสำคัญ แม้ตามข้อตกลงในสัญญาตกลงที่จะซื้อขายรถที่ผลิตในประเทศจีนทั้งคัน แต่ข้อเท็จจริงเป็นการนำรถมาประกอบที่ประเทศมาเลเซียก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่จะทำให้การจัดซื้อรถเมล์ NGV ของ ขสมก.ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการบริการสาธารณะ

ดังนั้น การที่ ขสมก.อ้างว่า บริษัท เบสท์รินฯ กับพวกเป็นฝ่ายผิดสัญญา และสามารถบอกเลิกสัญญาตามกฎหมายได้จึงไม่อาจรับฟังได้ จึงพิพากษาให้ ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว

PR-โปรแกรมผลบอล-2_B PR-โปรแกรมผลบอล-2_B
TOP ประเด็นร้อน
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ