เมื่อวันที่ (13 ก.ย. 61) นาย ศักดิ์ชัย แน่นอุดร ผู้เสียหาย อาชีพพ่อค้าขายส้มตำ เปิดเผยผ่านรายการเป็นเรื่องเป็นข่าวว่า ในคืนวันที่ 10 สิงหาคม ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกมาค้นบ้าน ประมาณ 10 นาย ด้วยชุดนอกเครื่องแบบทั้งหมด ขณะที่ตนกำลังขายส้มตำอยู่ตอนเที่ยงคืน โดยได้สอบถามไปทางตำรวจมีหมายค้นหรือไม่ ตำรวจก็ไม่ตอบแต่ตำรวจบอกว่าเจอยาไอซ์ภายในบ้าน ตนจึงขอดูแต่ตำรวจบอกเพียงมียาไอซ์นิดหน่อยเท่านั้น จากนั้นตำรวจได้คุมตำลูกสาวไปที่โรงพักตนจึงเดินทางไปที่โรงพักไม่พบตำรวจเจอเพียงลูกสาวนั่งรออยู่จึงได้พาลูกสาวกลับบ้าน ต่อมาไม่นานตำรวจชุดเดิมได้กลับมาบ้านอีกครั้งพร้อมพาตัวผมไปที่โรงพักโดยให้เหตุผลว่าตนพาผู้ต้องหาหลบหนี
จากนั้นได้มีการต่อรองเพื่อให้ปล่อยตัวตำรวจจึงเรียกเงินเป็นจำนวน 50,000 บาท ในการปล่อยตัว จากนั้นได้ไปปรึกษาผู้ใหญ่ในตำรวจนครบาลพญาไท ต่อมาไม่นานมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กลับมาที่ร้านส้มตำเพื่อข่มขู่ ทำให้ตนรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยจึงได้ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บัญชาการจเรตำรวจ กล่าวว่า การตรวจค้นครั้งนี้น่าจะเป็นการใช้อำนาจของทางกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ ปส. โดยเจ้าหน้าที่ที่ถือบัตรปส.จะมีอำนาจในการตรวจค้นได้ในยามวิกาล โดยส่วนมากเจ้าหน้าที่จะอ้างว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉิน โดยในกรณีนี้หากเป็นตำรวจจะไม่สามารถค้นบ้านประชาชนตอนกลางคืนได้ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ปส.เท่านั้น โดยควรจะค้นในเรื่องที่เร่งด่วนฉุกเฉินเท่านั้น
จากเหตุการณ์การที่เกิดขึ้นทั้งหมด คือ เจ้าหน้าที่ได้มีการเรียกรับเงิน ซึ่งผิดตาม มาตรา 149 โทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือ ประหารชีวิต ในกรณีนี้ควรจะต้องคำถามไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่าจะแก้ไขอย่างไร เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกในสังคมไทยต้นเหตุอาจมาจากการไม่เอาจริงของผู้บังคับบัญชาในการปฎิบัติและกำจัดการเรียกเก็บส่วยของตำรวจให้หมดไป
ชมคลิปเต็มที่ >> เปิดใจ “พ่อค้าส้มตำ” ดับเครื่องชน “10 ตร.” ตบทรัพย์ 5 หมื่น ยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด