พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า การสอบสวน ทั้ง 6 คน ปฏิเสธ ข้อกล่าวหา ต่างจากชั้น สืบสวน ที่ให้การเป็นประโยชน์ ซึ่งเขามองว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะปฏิเสธ แต่ก็มั่นใจในพยานหลักฐานที่มี พล.ต.ต.ธีรเดช บอกด้วยว่า ตอนนี้ มีกล้องวงจรปิด ที่สามารถมัดตัวผู้ต้องหาได้ เพราะ ภาพจากกล้องอยู่ที่หน้าด่านเลย เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
สำหรับรายชื่อตำรวจ สน.ห้วยขวาง ที่ถูกแจ้งข้อหาในครั้งนี้ 6 คน ประกอบด้วย ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รอง สารวัตปราบปราบ (สวป.) ร.ต.อ.ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รอง สว.อำนวยการ ด.ต.กฤษฎา คำมะนา ผบ.หมู่ ป. ส.ต.อ.เฉลิมชัย ศิริวังโส ผบ.หมู่ ป. ส.ต.อ.วัชรนนท์ ขาวยอง ผบ.หมู่ (ป.) และ ส.ต.อ.นันทวัชร์ สุวรรณา ผบ.หมู่ (ป.)
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ มีตำรวจอีก 1 คน ถูกแจ้งข้อหาด้วย ล่าสุด ถูกตัดชื่อออกเพราะตรวจสอบแล้วพบว่า ตอนเกิดเหตุ ด.ต.อธิเวช จุลพันธ์ ผบ.หมู่ (ป.) ได้รับแจ้งเหตุส่งเสียงดัง ใน รัชดา ซ.10 จึงไปตรวจสอบระงับเหตุ ไม่อยู่ในเหตุการณ์รีดไถนักท่องเที่ยว
ขณะที่ล่าสุด มีคำสั่งจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ให้ทั้ง 6 คนออกจากราชการไว้ก่อน แต่หากมีใครเกี่ยวข้องอีก ก็จะดำเนินคดีทั้งหมด
โดยทั้ง 6 ถูกแจ้ง 2 ข้อหา ตามมาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และข้อหาตามมาตรา 149 เจ้าพนักงานเรียกรับสินบน มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ระหว่างขึ้นรถ และมีสีหน้าค่อนข้างวิตกกังวล ไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ถูกนำตัวส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ขณะที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ออกเอกสาร ชี้แจง ให้สื่อมวลชน ไล่เรียงพฤติกรรมของตำรวจ 6 คน อย่างละเอียด
โดยกล่าวว่า วันที่ 5 มกราคม 2566 เวลา 00.01 น. ตำรวจทั้ง 6 นาย ตั้งด่าน หน้าสถานทูตจีน
จากนั้น 02.27 น. สกาย สัญชาติสิงคโปร์ กับพวกรวม 4 คน โดยสารรถยนต์ยี่ห้อมาสด้าสีแดง มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ
มีสิบตำรวจเอก ล. ผู้ต้องหาที่ 5 เป็นผู้คัดรถยนต์เข้ามาให้สิบตำรวจเอก ว. ผู้ต้องหาที่ 6 ตรวจค้นบุคคลในรถ
ตำรวจ 6 คน เชิญ สกาย ลงจากรถเพื่อค้นตัว สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้ค้นตัว
ส่วนเพื่อนของ สกาย อีก 2 คน ถูกกลุ่มผู้ต้องหาค้นตัว เจอ บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 3 อัน
สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 กับ ร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 พูดคุยสอบถาม เพื่อขอดูหนังสือเดินทางและวีซ่าจาก แต่กลุ่มนักท่องเที่ยว ไม่ได้พกหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย มีเพียงภาพถ่ายหนังสือเดินทางในโทรศัพท์มือถือ
สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 กับร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 พยายามพูดจาข่มขู่ ว่า กระทำความผิดโดยครอบครองบุหรี่ไฟฟ้ากับไม่พก หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่า อ้างว่าจะพาไปสถานีตำรวจทั้งที่ไม่มีเจตนาที่จะพาไปจริงกลับข่มขู่ให้
สกาย กับพวก เกิดความกลัว จนกระทั่งสิบตำรวจเอก น.ผู้ต้องหาที่ 3 กับร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 ปรึกษาและตกลงกันเรียกเงิน 27,000 บาท แบ่งเป็น ค่าที่พกบุหรี่ไฟฟ้าอันละ 8,000 บาท ทั้งหมด 3 อัน และค่าไม่พกหนังสือเดินทางอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท
สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้รับเงินใส่ในกระเป๋าเสื้อ สกาย กับพวก ถามสิบตำรวจเอก ป.ว่า กลับได้หรือไม่
สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 บอกว่า ต้องสอบถามร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 ก่อน ผู้ต้องหาที่ 3 และผู้ต้องหาที่ 2 เดินมาพร้อมยื่นบุหรี่ไฟฟ้าที่ยึดไว้ในตอนแรกให้สกาย กับพวก ถือไว้คนละอัน
โดยร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้สั่งให้สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 ใช้ไฟฉายส่อง ขณะสิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 ถ่ายรูปเพื่อให้แสงสว่างในการถ่าย
จากนั้นร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 ขออนุญาตให้ สกาย กับพวกกลับไปได้
ภายหลังสิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 น้ำเงิน 27,000 บาท มอบให้กับร้อยตำรวจเอก ย. ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็น หัวหน้าชุดที่นั่งในรถที่จอดไว้บริเวณที่เกิดเหตุรับเงินจำนวนดังกล่าวแล้วนำไปแบ่งในกลุ่มผู้ต้องหาด้วยกัน