คดีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” เริ่มพัฒนาและมีความซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ โดยสังคมให้ความสนใจตั้งแต่กรณีที่ระบุว่ามีการฉ้อโกงเงินของ “เจ๊อ้อย” กว่า 71 ล้านบาท ยาวมาจนถึงเรื่องของพินัยกรรม พร้อมมองว่า ทนายตั้ม มีเจตนาซ่อนเร้น แอบแฝง หรือต้องการแฝงตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการมรดกของเจ๊อ้อยกว่าหมื่นล้านบาทหรือไม่
ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญวิทยาเชิงพฤติกรรม และจิตวิทยาอาชญากร และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมวิเคราะห์พูดคุยในประเด็นดังกล่าวกับ PPTV ในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk ไว้อย่างน่าสนใจ
ศาลพิพากษาประหารชีวิต "แอม ไซยาไนด์"
วันหยุดธันวาคม 2567 เช็กวันสำคัญ - วางแผนลา หยุดยาวได้มากถึง 11 วัน
วงในเผย “ปูติน” พร้อมคุย “ทรัมป์” ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ผู้การแต้มมั่นใจ สังคมมอง "ทนายตั้ม" มีเจตนาแอบแฝง ชี้พินัยกรรมฉบับ 2 หมดพลัง หลังฉบับ 3 ปรากฏ
พล.ต.ต.วิชัย มองว่า ขณะนี้คนส่วนใหญ่ต้องคิดแน่ว่า ทนายตั้ม มีเจตนาแอบแฝงซ่อนเร้น เพราะคนเริ่มไม่เชื่อในตัวทนายตั้ม และที่เริ่มไม่เชื่อเพราะทั้ง 4 คดีของทนายตั้มนั้นบ่งบอกถึงพฤติกรรมของเขา จะจริงหรือไม่จริงให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน แต่พฤติกรรมนี้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ มีการจับกุม และมีการฉ้อโกงถึง 4 คดี เมื่อเป็นไปในลักษณะนี้แล้ว คนทั่วไปจึงมองว่าพฤติกรรมของทนายตั้มนั้นไม่ถูกต้อง
ยิ่งถ้ามีหลักฐานอื่นซึ่งน่าเชื่อได้ว่าจะมิดีมิร้าย คนก็จะยิ่งเชื่อไปแบบนั้น ตัวอย่างกรณีของการติด GPS ที่รถของเจ๊อ้อย แม้ทนายตั้มหรือตัวเจ๊อ้อยจะปฏิเสธว่าไม่ได้ติดตั้ง เมื่อตรวจสอบก็พบว่า GPS เชื่อมต่อไปยังทนายตั้ม สามารถตรวจสอบได้ แสดงว่าต้องมีความเกี่ยวข้อง หรือเป็นคนติดหรือไม่ คำถามคือ จะติดตั้งทำไม หรือเพราะต้องการสอดส่องพฤติกรรมเจ๊อ้อยหรือไม่?
ส่วนในเรื่องของพินัยกรรม พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ตามกฎหมายแล้วพินัยกรรมสุดท้ายถือว่าสำคัญที่สุด แต่กรณีที่เจ๊อ้อยไปทำพินัยกรรมฉบับสุดท้าย ฉบับที่ 3 ถ้าไม่ได้บอกทนายตั้ม แล้วบอกว่าฉบับที่ 2 ทำลายไปแล้ว หลักฐานการทำลายก็ไม่มี ถ้าไม่ได้บอกทนายตั้ม เขาจะทำลายฉบับที่ 2 หรือไม่ เพราะนี่เป็นประโยชน์ต่อตัวทนายตั้มเอง
ถ้าเจ๊อ้อยไม่บอกแล้วทนายตั้มอ้างว่าทำลายแล้ว ส่วนตัวไม่เชื่อ แต่ถ้าเจ๊อ้อยบอกว่าไม่ให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว แล้วเขาทำลายพินัยกรรมฉบับ 2 ก็อาจทำลายได้ แต่ตามมารยาทแล้วก็จำเป็นต้องเอามาคืนเจ๊อ้อย หรือทำลายต่อหน้าเจ๊อ้อย แต่นี่คือแค่บอกว่าเก็บเอาไว้ให้
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า กรณีที่เจ๊อ้อยจากไปแล้ว พินัยกรรมฉบับ 2 จะไม่มีพลังถ้าฉบับที่ 3 ถูกทำขึ้นแล้ว แต่ถ้าไม่ทำฉบับที่ 3 จะมีพลังทันที เพราะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเผยว่า ทรัพย์สินของเจ๊อ้อยในต่างประเทศจะให้ลูกหมด แล้วในประเทศจะตกเป็นของใคร? หรือถ้าคิดหนักไปอีกว่าลูกแท้ ๆ ของเจ๊อ้อยเสีย แล้วเจ๊อ้อยรับลูกของทนายตั้มเป็นบุตรบุญธรรม ก็จะยิ่งไปกันใหญ่
พล.ต.ต.วิชัย ระบุว่า ในส่วนของเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นกับเจ๊อ้อยได้นั้น ในแง่การสืบสวนของตำรวจ ถ้าเหตุยังไม่เกิดขึ้น ตำรวจต้องทำการสืบสวนพฤติกรรม เพราะตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขาจะกระทำความผิดหรือไม่ เจตนาเขาเป็นอย่างไรบ้าง ก็ได้แต่ดำเนินการตามความผิดที่ปรากฏและกฎหมายกำหนดไว้ เช่น การลักลอบติด GPS ส่วนเรื่องที่จะไปประสงค์ต่อชีวิตนั้นยังไม่สามารถลงโทษได้
พฤติกรรมทนายตั้ม ตอกย้ำเจตนาไม่บริสุทธิ์
ดร.ตฤณห์ กล่าวว่า พฤติกรรมของทนายตั้ม มีลักษณะเหมือนเป็นการต่อยอดให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้น จากตอนแรกที่พบว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์หลายเรื่องอยู่แล้ว ก็มีอีกเรื่องเพิ่มขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นการรับรองเจตนาที่ไม่สุจริตของทนายตั้ม
ถ้าตนจำไม่ผิด ทนายตั้มเริ่มทำงานกับเจ๊อ้อยเมื่อวันที่ 1 เมษายน และในวันที่ 9 เมษายน มีการแนะนำให้ทำพินัยกรรมฉบับแรก หลังจากนั้นอยู่ดี ๆ ไปยุ่งกับทรัพย์สินเขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้เป็นคนป่วยหรือมีอายุมาก ส่วนตัวมองว่าการจะทำพินัยกรรมควรเป็นเจตนาส่วนตัวของเจ้าของทรัพย์สิน อยู่ดี ๆ ตัวเองก็ไปอาสาทำ หลังจากนั้นก็มีพินัยกรรมฉบับ 1.5 ฉบับ 2 ตามมา ซึ่งเจ๊อ้อยก็ไม่รับทราบ มิหนำซ้ำยังยัดเยียดลูกตนเองเป็นลูกบุญธรรมเจ๊อ้อยอีก
ดร.ตฤณห์ กล่าวต่อว่า พอมีพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างรวมกัน ก็ทำให้เห็นเจตนาในแต่ละข้อหาไปในทิศทางเดียวกัน คือ ไม่บริสุทธิ์ใจ แทนที่เจ๊อ้อยจะมีทนายความเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ปกป้องสิทธิ์ของตนเอง กลายเป็นว่าทนายความของเขาเองมาลิดรอนสิทธิ มายัดไส้ทุกอย่าง ทำให้เจ๊อ้อยเสียเงินมากกว่าเดิม ซึ่งตนไม่คิดว่านี่คือเจตนาของการแต่งตั้งทนายประจำตัวของเจ๊อ้อย
ดร.ตฤณห์ ระบุว่า จริง ๆ การที่ทนายความ หรือที่ปรึกษากฎหมายจะเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดก จัดการทรัพย์ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ถ้าเป็นทนายของครอบครัว ไว้ใจมาหลายรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่ผู้จัดการมรดกก็จะเป็นบุคคลในครอบครัว
แต่พฤติกรรมของทนายตั้มนั้นแปลกมากหลายอย่าง และมั่นใจว่าตลอดอาชีพทนายความที่ผ่านมาไม่เคยโดนจับได้ มีแบ๊กมีคนคอยซัพพอร์ตหนุนหลังตลอด ด้วยอีโกของเขาทำให้เขาย่ามใจ จริง ๆ คดีนี้ไม่ซับซ้อน หลักฐานทุกอย่างชี้ไปในทางเดียวกัน มันหนีความจริงไม่พ้น
ปลายทางคดีทนายตั้มออกได้หลายเส้นเรื่อง ชี้ต้องถอดความคิดอาชญากร
ดร.ตฤณห์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าเราต้องวางเส้นเรื่องเผื่อไว้หลาย ๆ ทาง ต้องถอดความคิดของอาชญากรออกมา การที่จับพลัดจับผลูแต่งตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดก แล้วเว้นหน้าสุดท้ายไว้เผื่อไปพิมพ์ข้อความอย่างอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ ก็ไม่ทราบ แต่ผิดวิสัยพินัยกรรมทั่วไป ซึ่งทรัพย์สินที่ซอยย่อยนั้นแปลก จริง ๆ ให้เจ้าของทรัพย์สินส่งให้ทายาทก็จบ แต่การไปซอยย่อย 8 หน้านั้นแปลก กรณีของการติด GPS ก็เช่นกัน
ส่วนตัวมองว่าปลายทางเป็นไปได้หลายอย่าง เพราะตอนนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องอยู่ที่ปลายทางแล้วเกิดเหตุ แต่ด้วยหลักฐานทุกอย่างดันมาปูดเสียก่อน เพราะฉะนั้นการนำหลักฐานทุกอย่างชี้ไปทางเดียวกันหมด ก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด เหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทุกอย่างมันทำให้คิดแบบนั้น ไม่มีอะไรมาขัดขวางไม่ให้มันเกิดเหตุขึ้นไม่ได้
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ เราต้องวิเคราะห์ล่วงหน้าไปก่อน เพราะเราต้องวางแผนแบบที่อาชญากรเขาวางกัน ซึ่งอาชญากรก็สามารถวางเส้นเรื่องนี้ได้เช่นกัน
ดร.ตฤณห์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองเห็นช่องโหว่หลายอย่างของพินัยกรรม คือ ผู้มีเจตนาจะทำพินัยกรรมหรือเจ๊อ้อยนั้นต้องเซ็นกำกับทุกหน้า หน้าสุดท้ายบรรทัดหลังข้อความสุดท้ายจะต้องมีลายเซ็นของเจ๊อ้อย และพยาน 2 คนขึ้นไปที่ต้องไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น ๆ
คำถามคือ ทนายตั้มจะเว้นที่ว่างเหลือเกินครึ่งหน้าไว้ทำไม ไม่มีลายเซ็นเจ๊อ้อยในกระดาษทุกแผ่น และพินัยกรรมมีจำนวนถึง 7 - 8 หน้านั้นก็แปลก อีกทั้งเมื่อเจ๊อ้อยไม่สบายใจ ก็ไปทำพินัยกรรมฉบับล่าสุดกับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นพยาน ทว่าเขากลับไม่นำพินัยกรรมฉบับเก่ามาทำลายต่อหน้า อ้างว่าทำลายไปแล้ว ซึ่งมันไม่ได้ เจตนาเขาไม่บริสุทธิ์หลายอย่าง