เรียกได้ว่ายังคงมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง และมีการเปิดหลักฐานใหม่ออกมาเป็นระยะๆ สำหรับคดีร้อนระหว่าง “ทนายตั้ม” กับ “เจ๊อ้อย”
ล่าสุดนายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส พูดในรายการ “สนธิเล่าเรื่อง” ในคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในข้อหา ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ และเข้าสู่ พรบ.ฟอกเงิน รวมถึงยังขยายผลไปถึง ภรรยาทนายตั้ม นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี
โดยนายสนธิ บอกว่า จุดเริ่มต้นของคดี มาจากวันที่ 16 ต.ค. 2567 ซึ่งเจ๊อ้อยมาพบตนเพื่อขอความช่วยเหลือ ต้องการจะเรียกหนี้คืน 71 ล้านบาท และยกเลิกสัญญาทั้งหมด ระหว่างทนายตั้ม แต่ทนายตั้มไม่ยอมคืนเงิน จึงต้องเข้าแจ้งความที่ อ.ปากช่อง กระทั่งผ่านมา 1 เดือน 4 วัน จากเงิน 71 ล้าน แตกกระจายเป็น 39 ล้านบาท, 14.5ล้านบาท, 9ล้านบาท และตามมาอีกหลายคดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 120 ล้านบาท โดยกองบังคับการปราบปราม ต้องใช้ตำรวจมาทำคดีมากกว่า 100 คน ในการสืบหาพยานหลักฐาน มาประกอบสำนวนคดี
นอกจากนั้นนายสนธิ ยังได้นำพินัยกรรมของ เจ๊อ้อย ที่ทนายตั้มทำขึ้น 2 ฉบับ มาแสดง พร้อมบอกว่า พินัยกรรมที่ทนายตั้มทำขึ้นมีพิรุธ โดยพินัยกรรมฉบับที่ 1 ทำขึ้นที่ บริษัทษิทราลอว์ เฟิร์ม จำกัด มี 7 ข้อ ผู้รับมรดกเป็นชื่อลูกชายของเจ๊อ้อย ซึ่งพินัยกรรมฉบับนี้ไม่มีปัญหา
ส่วนพินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ฉบับนี้ เจ๊อ้อยมีการทวงถามจากทนายตั้ม และยังไม่ได้คืน ซึ่งตัวทนายตั้ม อ้างว่าทำลายแล้ว ขณะที่ พินัยกรรมฉบับที่ 2 ทำขึ้นที่บ้านเจ๊อ้อย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีชื่อทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดย เจ๊อ้อย ยืนยันว่า ในพินัยกรรมฉบับที่ 2 เดิมทีเนื้อหาไม่ได้มีรายละเอียดให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เป็นการใส่เอง และไม่ได้ให้เจ๊อ้อยลงนามทุกหน้ากระดาษ แต่ให้เซ็นชื่อเพียงหน้าเดียว คือหน้าสุดท้าย
“เพราะฉะนั้นพินัยกรรมฉบับที่ 2 ถือเป็นพินัยกรรมปลอมที่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ทำพินัยกรรม ซึ่งเชื่อว่าต้องมีพินัยกรรมอีกหนึ่งฉบับที่ถูกซุกซ่อนไว้อีก และรอการเปิดเผย หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ๊อ้อย”
ศาลพิพากษาประหารชีวิต "แอม ไซยาไนด์"
วันหยุดธันวาคม 2567 เช็กวันสำคัญ - วางแผนลา หยุดยาวได้มากถึง 11 วัน
วงในเผย “ปูติน” พร้อมคุย “ทรัมป์” ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
นายสนธิ บอกอีกว่า ระหว่างที่ ทนายตั้มมีชื่อเป็นผู้จัดการมรดก ตามพินัยกรรมฉบับที่ 2 ได้ชวนพี่อ้อยไปเที่ยวที่ต่างๆ แบบไกลปืนเที่ยง เช่น วัดห้วยปลากั้ง จ.เชียงราย และชักชวนไปเที่ยวแพชื่อดัง ในเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี อ้างว่าจะพาไปรู้จักตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่เป็นคนใต้ เหมือนกับที่อ้างไปฮ่องกง แต่เจ๊อ้อย บอกว่า ลำบาก ไม่อยากรู้จักกับนักการเมือง จึงไม่ได้ไปตามคำชวน ทั้งนี้หลังจากเจ๊อ้อย รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงได้ทำพินัยกรรมฉบับที่ 3 ที่ที่ว่าการอำเภอปากช่อง เพื่อให้พินัยกรรมฉบับเก่าเป็นโมฆะ
นอกจากนี้ นายสนธิยังบอกอีกว่า น.ส.ปิณฑิรา หรือ ดาว พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ได้ให้การสารภาพกับตำรวจ และพาไปชี้จุดต่างๆ รวมถึงถุงที่ใช้ใส่เงิน โดยหลังจากถอนเงินจากธนาคารแล้ว ได้แบ่งเงินกับ นายนุวัฒน์ และสารินี ที่เอาเงินไป 19ล้านบาท ส่วนเงิน 20 ล้านบาท ได้นำไปไว้ที่บ้าน พุทธมณฑลสาย 4 โดยระหว่างมีการถอนเงินและแบ่งกัน ทางกลุ่มได้สื่อสารกับทนายตั้มทางข้อความ แม้ว่าทนายตั้มจะอยู่ต่างประเทศ
ส่วนกรณีที่ ทนายสายหยุด ติดต่อไปขอคืนเงิน เพื่อแลกกับการถอนแจ้งความนั้น นายสนธิ บอกว่า เมื่อคืนนี้พี่น้อยเลขาของเจ๊อ้อยโทรมาบอกเรื่องนี้ ตนจึงตอบไปว่า คนตัดสินใจคือเจ๊อ้อย เพราะเป็นเงินของเจ๊อ้อย ก่อนที่พี่น้อยจะบอกว่า เจ๊อ้อยจะมอบอำนาจให้ตนตัดสินใจในการทำคดีคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นตนจึงยืนยัน เดินสุดซอยในคดีของทนายตั้ม
“พี่อ้อยได้มอบอำนาจเด็ดขาดให้ผมแต่เพียงผู้เดียว ว่าจะเดินหน้าสุดซอยหรือจะรับเงินคืน ผมจะเดินสุดซอย ด้วยสัจจะวาจาที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เรื่องของษิทา ถ้าผมเดินไม่สุดซอย ขอให้มีอันเป็นไปด้วยเด็ดขาด”
พร้อมกันนี้ นายสนธิยังบอกอีกว่า ช่วงบ่ายพรุ่งนี้ จะเดินทางไปที่สภาทนายความ เพื่อยื่นหนังสือโดยตรง กรณีของทนายตั้ม และทนายเดชา ที่ทำผิดมรรยาททนายความ