รายการ “UNLOCK THE CASE” ร่วมพูดคุยกับ พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ พุ่มพวง สว.กก. 3 บก.ปอท. เปิดเบื้องลึกเบื้องหลัง ปฏิบัติการ "ม้าโทรจัน" ที่ตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) ได้มีการส่งตำรวจปลอมตัวไปทลายแก๊งจัดหาบัญชีม้าให้กับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยแฝงตัวเป็นเหยื่อขายบัญชีม้า ก่อนแสดงตัวรวบทั้งขบวนการ ตั้งแต่ทีมนกต่อ ทีมพาเปิดบัญชี รวมถึงทีมพาข้ามไปชายแดน
โดย พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ เล่าว่า ลักษณะของ "ม้าโทรจัน" มาจากตำนานสงครามกรีกกับกรุงทรอย ที่กรีกสามารถเอาชนะกรุงทรอยได้โดยใช้ม้าไม้
1
บัญชีม้าถือเป็นหัวใจของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะกลุ่มเป้าหมายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือคนไทย ดังนั้นการจะเอาเงินคนไทยก็ต้องใช้บัญชีธนาคารของคนไทยในการรับเงิน ซึ่งตัวารใหญ่ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน ถ้าเขาใช้บัญชีตัวเองก็จะรู้ทันทีว่าใครเป็นคนร้าย ดังนั้นเขาจึงใช้บัญชีม้าเพื่อไม่ให้สาวไปถึงตัวเขา
ส่วนจุดเริ่มต้น ปฏิบัติการ "ม้าโทรจัน" ในครั้งนี้ เริ่มมาจากเพจ “Drama-addict” ที่มีการแชร์เฟซบุ๊กอวตารที่มีการโพสต์หาคนเปิดบัญชีม้า พอมีเบาะแสเราก็ใช้เวลา 1-2 วันปฏิบัติการเลย โดย พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ เล่าว่า ลักษณะของ "ม้าโทรจัน" มาจากตำนานสงครามกรีกกับกรุงทรอย ที่กรีกสามารถเอาชนะกรุงทรอยได้โดยใช้ม้าไม้
ส่วนสาเหตุที่ตำรวจต้องแฝงตัวนั้น อย่างที่ พล.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เคยพูดไว้คือเราจะทำทุกอย่างที่ทำได้ในประเทศไทย คือเราทั้งจับบัญช้าม้า จับนายหน้าบัญชีม้า แต่มันก็ยังไม่หมด และพอเห็นมีการประกาศหาบัญชีม้าทางโซเชียลมีเดีย เราก็คิดว่าสิ่งที่จะทำได้ดีที่สุดที่จะจับได้ทั้งขบวนการก็คือการแฝงตัว หากไม่แฝงตัวเข้าไปก็ยากที่จะไปถึงชายแดน หรือคนพาข้ามแดน ก็เลยให้ตำรวจลองแฝงตัวเข้าไปเลย ไปให้สุดปลายทางที่เราจะทำได้คือขอบชายแดน แล้วถึงมีการจับได้ทั้งขบวนการก่อนข้ามชายแดน ส่วนตำรวจที่แฝงตัวเป็น "ม้าโทรจัน" นั้น ก็ต้องคัดเลือกคนที่ลักษณะเหมือนชาวบ้านทั่วไป ทำตัวโทรมๆหน่อย เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นตำรวจแฝงตัวมา
โดยให้ตำรวจสมัครไปเหมือนชาวบ้านทั่วไป ก่อนทักติดต่อคนที่โพสต์หาบัญชีม้า ว่าอยากได้เงิน เพราะช่วงนี้ตกงาน หลังจากนั้นเขาก็จะมีการสอบถามว่าอยู่ที่ไหน และให้ถ่ายรูปปบัตรประชาชนไปให้ก่อน เพื่อตรวจเช็กข้อมูลเบื้องต้นว่าติดแบล็คลิสอะไรหรือไม่ ซึ่งก็น่าจะมีกระบวนการตรวจสอบพอสมควร หลังจากนั้นเขาก็จะส่งคนมารับ โดยชุดสืบที่แฝงตัวมีการนัดรับที่กรุงเทพ และทีมงานที่เหลือก็เฝ้าสะกดรอยตามรถยนต์ที่มารับ เพื่อดูความปลอดภัยของตำรวจที่แฝงตัว และเก็บพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับขบวนการนี้ไปด้วย
หลังจากมีคนมารับตัวไปเดินทางจากกรุงเทพ แล้วพาไปเปิดบัญชี จ.ที่ชลบุรี หลังจากนั้นจึงมีการขับรถพาไปที่ จ.จันทบุรี ไปแถวชายแดนโป่งน้ำร้อน ไปส่งในจุดที่ห่างจากชายแดนประมาณ 2 กม.โดยมีการนำคนไปส่งให้คนที่สั่งการ จากนั้นคนที่สั่งการก็ได้พาตัวบัญชีม้าไปส่งให้คนที่จะพาข้ามแดน ซึ่งเป็นคนในพื้นที่นั้นที่เชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางตามชายแดนธรรมชาติ ซึ่งเส้นทางที่ไปจะเป็นป่า และสวนลำใย จนไปถึงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จะมีคลองเล็กๆคั่นอยู่ โดยการพาคนข้ามแดนมักจะพาไปตอนกลางคืนเพื่อหลบหลีกการตรวจจับของทหารหรือ ตชด. เมื่อเดินเท้าไปถึงคลองที่คั่นชายแดน ก็จะมีชาวกัมพูชามารอรับอยู่แล้ว พอถึงจุดนั้นยังไม่ข้ามชายแดน ตำรวจจึงแสดงตัวจับกุมก่อน โดยปฏิบัติการ "ม้าโทรจัน" ดังกล่าว จับได้ตั้งแต่คนที่ขับรถไปรับบัญชีม้า 1 คน คนสั่งการ 1 คน และคนพาข้ามชายแดนอีก 2 คน รวมขบวนการ 4 คน
พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ บอกอีกว่า ความต้องการบัญชีม้าในปัจจุบันสูงมาก เพราะทางภาครัฐมีการระงับไปเยอะมาก คนที่ทำความผิดเกี่ยวกับบัญชีม้าก็จะถูกอายัดทุกบัญชี ทำให้คนเก่าใช้ไม่ได้ต้องหาคนใหม่ เขาก็เลยต้องหาคนมาเปิดบัญชีเพิ่ม ค่าจ้างบัญชีม้าก็จะสูงขึ้น
แกะโครงสร้างเส้นทาง “บัญชีม้า”
พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า องค์กรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะเป็นลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะแบ่งเป็นขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่คนจัดหาบัญชี คนไปรับบัญชีม้า คนพาไปเปิดบัญชี คนพาข้ามแดน ก่อนที่จะพาบัญชีม้าเข้าไปในออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งคนไทยไม่มีทางที่จะไปถึงออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปตได้ หากไม่มีขบวนการเหล่านี้ ดังนั้นจึงมีการแบ่งขบวนการเหล่านี้เป็นทอดๆ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่รู้อะไรเยอะ และไม่ค่อยรู้จักกัน แต่ละคนจะรู้แค่ว่าต้องทำอะไร ต้องไปรับคนมาส่ง หรือพาไปเปิดบัญชี หรือพาข้ามชายแดน ส่วนขวนการในฝั่งกัมพูชาก็จะรู้แต่ว่ารับจากตรงนี้ไปส่งให้ใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ยากต่อการสืบสวนจากบัญชีม้าจะไปถึงตัวบอสว่ามีใครบ้าง
ส่วนคนที่หลวมตัวติดต่อคนที่โพสค์หาบัญชีม้าส่วนใหญ่จะเป็นคนตกงาน ต้องการรายได้ มีทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มวัยรุ่นที่อาจจะยากหารายได้ หรือใช้เงินเกินตัว แล้วเห็นว่าไปทำงานแค่ 2-3 วันแล้วได้เงิน 20,000 บาท ก็เลยไป แต่พอไปจริงๆไม่ได้อย่างที่เขาโพสต์โฆษราไว้ พอบัญชีม้าถูกอายัด จะขอเงินค่าเปิดบัญชีเขาก็จะถูกหักค่ารถ ค่าพาข้ามแดน เหลือจริงๆ บัญชีหนึ่งประมาณ 500-1,000 บาท หรืออาจจะไม่ได้เลย ซึ่งจะเป็นการโดนหลอกในหลอกอีกทีหนึ่ง หลอกไปเปิดบัญชีม้าไม่พอ หลอกว่าจะให้ค่าจ้างก็ไม่ให้อีก ท้ายที่สุดจะไปแจ้งความก็ไม่ได้
ทั้งนี้สำหรับกลุ่มผุ้สูงวัย ที่มารับเปิดบัญชีม้านั้น ส่วนใหญ่จะมีคนในหมู่บ้านที่เคยไปรับเปิดบัญชีม้ามาแล้ว มาชวนคนในหมู่บ้านไป เพี่อรับค่านายหน้า โดยจะหลอกชาวบ้านว่าไปเปิดบัญชีม้ามาแล้วและได้เงิน แต่ก็ไม่โดนหมายจับ จนทำให้มีคนหลงเชื่อ แต่คนพวกนี้สุดท้ายก็ต้องโดนหมายจับอยู่ดี
จาก "บัญชีม้า" สู่เส้นทางไร้วันหวนคืน
พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า คนที่เคยเป็นบัญชีม้าและเคยข้ามชายแดน เข้าไปในออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว เห็นกระบวนการทำงานแล้ว รู้จักคนรู้จักนายหน้า พอบัญชีตัวเองถูกอายัดแล้ว ใช้ไม่ได้แล้ว แต่ยังอยากได้เงินอีก ก็จะมีการกลับไปชวนคนอื่นมาเป็นบัญชีม้าแทน และบางคนพอไปเปิดบัญชีม้าแล้วรู้ว่าตัวเองถูกออกหมายจับ ก็จะผันตัวทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์เลย ไม่กลับมาไทยเพราะกลัวโดนจับ มีหมายจับติดตัว
หรือบางคนก็ยอมรับว่าที่ไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งประเทสเพื่อนบ้าน เพราะติดยาเสพติด สามารถเสพยาเสพติดได้ ไม่มีตำรวจมาจับ ไม่มีใครมาตรวจ และยังหายาเสพติดได้ง่าย ก็เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อยู่ฝั่งประเทสเพื่อนบ้านเลย แต่ตั้งต้นคนเหล่านี้มักจะมาจากบัญชีม้า นอกจากนั้นยังมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์บางกลุ่มที่เลี้ยงคนเหล่านี้ด้วยยาเสพติด คือให้เสพยาและให้ทำงานไปด้วย
เราพบว่าคนที่ไปรับจ้างเปิดบัญชีม้าพอข้ามชายแดนไป จะถูกส่งไปที่ออฟฟิศฟอกเงิน ในพื้นที่ปอยเปต กัมพูชา โดยออฟฟิศนี้จะมีคนรับเปิดบัญชีม้าเข้าไปประมาณ 20 คนต่อวัน ซึ่งบัญชีม้าคนหนึ่ง นอกจากจะต้องเปิดบัญชีธนาคาร 5-6 บัญชีแล้ว ยังต้องเปิดบัญชีคริปโทด้วย และพอผู้เสียหายถูกหลอกและโอนเงินเข้าบัญชีม้าแล้ว เงินก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นคริปโทอย่างรวดเร็ว ไม่ถึง 1 นาที
“สมมติวุ่นนาย A เปิดบัญชีธนาคาร แล้วนาย A ก็เปิดบัญชีคริปโทด้วย พอเงินเข้าบัญชีนาย A แล้ว 1 ล้านบาท สิ่งที่ต้องทำคือโอนเงิน 1 ล้านนี้ไปซื้อเหรียญ ซึ่งถ้าเกิดโอนเข้า exchange ในไทยก็สามารถโอนได้เลย กดโอนเงินเข้าบัญชีคริปโทก็ให้บัญชีม้าสแกนหน้าเงินในบัญชีก็ถูกโอนออกเหลือ 0 บาท ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่ถึง 1 นาที อายัดยังไงก็ไม่ทัน เงนิก็ถูกเปลี่ยนไปอยู่ในคริปโท แล้วนำไปซื้อเหรียญส่วนใหญ่ใช้เป็น USDT ก่อนโอนไปที่กระเป๋าของแก๊งคอลเซ้นเตอร์”
แฉออฟฟิศฟอกเงิน!
พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า เราเคยจับคนที่ทำงานในออฟฟิศฟอกเงิน เขาบอกว่าออฟฟิศแห่งนี้รับฟอกเงินให้แก๊งคอลเว็ฯเตอร์ 70-80 แก๊ง วันหนึ่งเงินเข้ามาในออฟฟิศเขาประมาณ 30 ล้านบาท ทั้งนี้หากดูจากสถิติคนไทยถูกหลอกวันหนึ่ง 60-70 ล้านบาท ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นแก๊งฟอกเงินแก๊งนี้ ฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบจะครึ่งหนึ่งเลย ซึ่งถือเป็นออฟฟิศใหญ่ ส่วนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่ต้องไปหาบัญชีม้าเลย หาแค่คนมาหลอก แล้วก็มาใช้บริการออฟฟิศฟอกเงินเหล่านี้ โดยจะคิดค่าบริการจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประมาณ 8-12% ของเงิน
ส่วนที่หลายคนอ้างว่าโดนหลอกไปนั้น พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า จากประสบการณ์คิดว่า 99% ไม่ได้โดนหลอก อาจจะมีบ้างคนที่หลงเชื่อจากการโพสต์ชวนในโซเชียลมีเดีย แต่จากเคสที่ตำรวจแฝงตัวเข้าไป เขาก็จะบอกเลยว่าไปเปิดบัญชีให้เว็บพนัน ไปสแกนหน้า 2-3 วัน ส่วนคนที่โดนหลอกส่วนใหญ่จะเป็นคนกลุ่มที่หางาน คิดจะหางานทำที่ปอยเปต ไปเทรดคริปโท ก็สมัครไป แต่พอไปถึงออฟฟิศจะให้เปิดบัญชีธนาคาร และบัญชีคริปโท โดยอ้างว่าเอาไว้ใช้เทรดคริปโท แต่เรื่องการเทรดไม่มีจริง ก็จะกลายเป็นบัญชีม้า พอกลับมาประเทศไทยก็จะโดนออกหมายจับ
โดยคนที่โดนหลอกไปจริงๆ พอกลับถึงประเทศไทยควรจะเข้าแจ้งความว่าถูกหลอกไปทำงานแบบนี้ คือคนที่ถูกหลอก เขาจะไม่ได้บอกให้เปิดบัญชีตั้งแต่แรก แต่ถ้าบอกว่าให้ไปเปิดบัญชีม้าอันนี้ไม่ได้โดนหลอกแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น 99% รู้ทั้งหมด ไม่มีใครถูกหลอก
ส่วนมูลค่าความเสียหายจากออฟฟิศบัญชีม้า พบว่าในระยะเวลา 3-4 เดือน มีบัญชีม้าเข้ามาที่ออฟฟิศนี้ประมาณ 500 คน ก็มีการเปิดบัญชีธนาคารไปประมาณ 2,000 บัญชี และเปิดบัญชีคริปโทอีก 500 บัญชี ถ้าเทียบแล้วก็เดือนละ 100 คน ส่วนตัวเลขความเสียหายประมาณเดือนละ 10 ล้าน ส่วนออฟฟิศใหญ่ที่รับฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 70-80 กลุ่ม จะมีบัญชีม้าเข้าไปวันละ 20 คน หรือ 500 คนต่อเดือน มีการฟอกเงินวันละประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งเกือบ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่ในพื้นที่อาจจะมีออฟฟิศฟอกเงินขนาดเล็กอีก หรืออาจจะมีออฟฟิศฟอกเงินที่ใหญ่กว่านี้อีกก็เป็นไปได้
อยากบอกอะไรกับคนที่คิดจะลองไปเปิดบัญชีม้าแลกเงิน
พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า อย่าลองเลย เพราะบัญชีม้าเราไม่รู้ว่าเขาเอาบัญชีไปใช้ธรรมอะไร ซึ่งแค่การเปิดบัญชีให้คนอื่นใช้ก็มีความผิดแล้ว อัตราโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หากคนที่เป็นนายหน้าจัดหาก็จะโดนโทษสูงขึ้นอีกคือ จำคุก 2-5 ปี ปรับ 2-5 แสนบาท
และบัญชีเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกเอาไปใช้ฟอกเงิน ก็จะทำให้โดนข้อหาฟอกเงินเพิ่มไปอีก โทษจะหนักขึ้นไปอีก โทษจำคุก 10 ปี และกรณีที่ไปสแกนหน้าที่ฝั่งปอยเปต ก็จะโดนโทษหนักขึ้นอีก โดนข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดนโทษจำคุกตั้งแต่ 4-15 ปี ซึ่งการที่ข้ามชายแดนไปก็จะกลายเป็นขบวนการเดียวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว ส่วนที่อ้างว่าได้เงินเยอะก็ไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้นหากใครเห็นการโพสต์ชักชวนเปิดบัญชีม้าก็ขอให้แจ้งมายังเจ้าหน้าที่
ซึ่งที่ผ่านม้าราก็พยายามทำทุกอย่างทั้งการให้ข้อมูล การตักเตือน ก็ทำให้บัญชีท้าลดลง แต่ก็ยังไม่หมด เราก็เลยไปเอาผิดพวกนายหน้า คนชักชวน คนพาข้ามชายแดนต่างๆ ซึ่งก็เชื่อว่าหลังจากมีการจับกุมเคสนี้แล้วขบวนการบัญชีท้าก็น่าจะลดลง เพราะจะเห็นแล้วว่าถ้าโพสต์หาบัญชีม้าแล้วไม่รอดแน่ จะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีสายตำรวจสมัครไปด้วย เพราะม้าโทรจันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ยังมีอีกเยอะ