ประเด็นคาราคาซังการทำงานของคณะกรรมการกสทช. ยังคงเป็นที่โจษขานของทุกวงการมาตลอด 3 ปี นับตั้งแต่ประมูลใบอนุญาตประกอบทีวีดิจิตอล เพราะหลายๆปัญหาเพิ่งมาปรับแก้ไขให้อุตสาหกรรมในปีนี้ และหลายๆ ปัญหาที่เคยหมักหมม เริ่มจะโผล่มาให้เห็น ในขณะที่อายุการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ จะสิ้นสุดลงในกลางปี2560 ซึ่งไม่รู้ว่าจะลากให้ผู้ประกอบการบางช่องสิ้นสุดไปกับตัวเองเพิ่มเติมอีกกี่ช่อง
1) ประเด็นที่ผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายใหม่และขนาดกลาง 15 สถานี เรียกร้องให้ปรับปรุงแก้ไข กฎระเบียบ ขอย้ำว่า จำนวนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้อง เป็นผู้ประกอบครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรม เลยทีเดียว เพราะช่องอนาล๊อคเดิมและผู้ผลิตรายใหญ่ที่ตั้งมา 20 กว่าปีไม่เดือดร้อน
2) ประเด็นหลักที่ตั้งข้อสังเกต คือ
2.1) การเรียกเก็บค่าใบอนุญาตรวดเดียว 50% ใน 2 ปีแรก และอีก 30% ในปี 2559 ทั้งๆ ที่ infrastructure ทั้งหมดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทั้งสัญญาณการรับชมที่ไม่ครอบคลุม สัญญาณไม่ชัด ส่งผลให้รายใหม่ต้องใช้ต้นทุนสูงกว่ารายเดิมกว่า 3 เท่าตัว
2.2) ค่าใช้จ่ายโครงข่ายแพงเกินราคาประเมิน จนทำให้บางสถานีไม่สามารถชำระเงินค่าโครงข่าย ติดต่อกัน 2 ปี ส่งผลให้เจ้าของโครงข่ายร้องขอคืนโครงข่ายต่อ กสทช. เนื่องจากไม่มีรายได้จากผู้ประกอบการ ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนจะเริ่มบังคับให้ผู้ประกอบการออกอากาศในเดือนพฤษภาคม 2557 กสทช.ควรสรุปและทำ infrastructure ร่วมกันก่อน แต่ปรากฎว่า 3 โครงข่ายคือ อสมท. , ThaiPBS และ ททบ.5 ต่างเร่งกันไปลงทุน ตามคำสั่งของ กสทช. ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ที่จริงแล้วควรจัด "แบ่งโซนในการเปิดให้บริการ" ก่อน โดยเฉพาะเขตเมืองแล้วค่อยขยายไปจนสุดทางของสัญญาณ ส่วนที่เป็นอำเภอรอบนอก ก็ใช้เครือข่ายดาวเทียม ในการสนับสนุน และควรทำเป็น "MUX pool " เหมือน ATM pool ที่ผู้ใช้จะได้ประโยชน์ ในขณะที่ผู้ประกอบการ MUX ก็สามารถบริหารโครงข่ายและงบลงทุนได้เป็น phase
2.3) การวิจัยและสำรวจพฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนผ่านคือสิ่งสำคัญ ปัจจัยหนึ่ง เพราะการวัดพฤติกรรมผู้ชมและความนิยมคือ หัวใจสำคัญของการหารายได้จากโฆษณาของทุกสถานีโทรทัศน์ แต่ปรากฎว่า กสทช.ไม่สนใจและไม่คิดที่จะเป็นแกนกลางในการพัฒนาระบบให้มีมาตรฐานและ up to date มากขึ้น ประการสำคัญการวัด rating คือ การวัด KPI ที่องค์กรอิสระหรือ หน่วยงานรัฐต้องมี เพื่อที่จะได้รู้ว่า "แผนแม่บท" ที่ กสทช.กำหนดและเสนอต่อรัฐบาลและสาธารณะมีความสัมฤทธิ์ผลเพียงใด แล้วถ้าไม่มีKPI กสทช. จะเอาข้อมูลอะไรมาบอกต่อสังคม การวัดเรตติ้ง จึงกลับกลายเป็นผลักภาระต้นทุนส่วนนี้ให้ผู้ประกอบการอีก
2.4) อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การแจกคูปองแลกกล่องดิจิตอล ที่มีการบิดเบือนด้านราคา มาตั้งแต่การทำ Public Hearing ซึ่งผู้ประกอบการเตือนและร้องเรียนแล้วว่า ราคาที่ลดต่ำลงมาจากที่เคยเสนอ 1,000 บาท เหลือ 690 บาท ตามกระแสผลักดันของกสทช บางคน ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนภาคประชาชน ซึ่งไม่เป็นการจูงใจ อีกทั้งกลับกลายเป็นการทำลายอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน เพราะผู้ผลิตกล่องที่ไปเรียกมาร่วมโครงการ ล้วนแต่เพิ่งจดทะเบียนบริษัท เป็นผู้ประกอบการใหม่ และไปสั่งจากประเทศจีน โดยลดคุณภาพหลายอย่างลง เพื่อให้ได้ราคาขายตามที่กำหนด ผลคือ ประชาชนต้องซื้อเสาอากาศเพิ่ม ไม่มีศูนย์ซ่อมบำรุง ขั้นตอนการแลกวุ่นวาย ไปแจกคูปองในพื้นที่ที่โครงข่ายยังขยายไปไม่ถึง เมื่อประชาชนรับกล่องไปก็เปิดดูทีวีดิจิตอลไม่ได้ เกิดอาการเบื่อหน่าย จึงมีการทิ้งกล่องจำนวนมาก และไม่มีผู้เอาคูปองมาแลก ส่วนผู้ผลิตกล่องดิจิตอล เป็นหนี้สินปิดบริษัทไปเป็นจำนวนมาก การแจกคูปองที่ผ่านมาจึงถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ
ล่าสุด กสทช. ประกาศจะแจกคูปองอีกภายในเดือนพย 2559 นี้ จำนวน4,785,523 ใบ x 690 บาท เป็นเงิน 3,302 ล้านบาท ( ยังไม่รวมที่แจกไปแล้วจำนวนมาก ใช้เงินไปแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท ) เงินเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินประมูลที่เป็น "เงินแผ่นดิน" น่าจะปรับเอางบนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ ผมเสนอว่าควรยกเลิกการแจกคูปองแลกกล่อง แล้วแบ่งสัดส่วนงบประมาณคูปองแลกกล่อง ออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 : เอาไป subsidy ค่าใช้จ่ายโครงข่าย
ส่วนที่ 2 : ควรจะร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือสภาหอการค้าไทย ให้สาขาอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตทีวีที่มี tuner ดิจิตอลทีวีในเครื่องรับพร้อมเสาอากาศ ในราคาถูก วิธีการนี้จะทำให้ประชาชนเปลี่ยนเครื่องรับโทรทัศน์ทั้งประเทศ รวมกว่าไม่ต่ำกว่า 50 ล้านเครื่องสร้างมูลค่ารายได้ให้ประเทศนับหมื่นล้านบาท และยังมีธุรกิจอื่นที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีก เช่น ห้างสรรพสินค้า บัตรเครดิตอื่นๆ ส่งผลให้ GDP ของประเทศคึกคักขึ้นทันที จากเม็ดเงินที่เคยคิดจะละลายน้ำจากคูปองแลกกล่อง
ส่วนที่ 3 : เอาไปดำเนินการเป็น National Media research house ซึ่งจะทำให้กสทช. เป็นเจ้าของข้อมูล Data ของผู้ชม สามารถนำข้อมูลไปพัฒนาประเทศได้ในหลากหลายส่วน
2.5) การที่ภาคอุตสาหกรรมมีเดียและทีวีดิจิตอล ไม่เติบโต ไม่ใช่แค่ส่งผลให้ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ส่งผลไปยังภาควิชาการในสถานศึกษา เนื่องจากทุกมหาวิทยาลัย มีการเรียนการสอน ในวิชานิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ สังคมศาสตร์ และด้าน multi media มีเยาวชนลูกหลานของท่านกำลังศึกษาและกำลังจะเอ็นทรานส์อีกหลายพันคน หากภาคธุรกิจมีเดียหรือสื่อสารมวลชน ไม่ขยายตัว นักศึกษาเหล่านี้ บัณฑิตเหล่านี้ จบมาจะทำอาชีพอะไร สถานศึกษาก็คงต้องยุบภาควิชาและคณะลง เพราะปัจจุบัน จำนวนคนเรียนน้อยลง เนื่องจากไม่มี Career Path ที่ชัดเจน คนจะว่างงานเพิ่มเท่าไร
2.6) ประการสุดท้าย ที่ผมอยากจะถามผู้รู้ทางกฎหมายว่า ในข้อสัญญาของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ ผู้รับใบอนุญาตทุกรายต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีจากรายได้ประจำปีก่อนหักภาษีไม่เกิน 2% ให้เป็นรายได้ของกสทช. และรายได้อีก 2% ก่อนหักภาษี ให้กับกองทุนพัฒนาสื่อ(กทปส.)
คำถาม คือ
1) นี่เป็นกฎหมายฉบับเดียวในเมืองไทยใช่ไหม ที่ผู้ประกอบแบกภาระทุกอย่าง แต่ไม่สามารถหักต้นทุนได้เลย เพราะรัฐหักหัวคิวไปก่อนแล้วไม่เกิน 2 % +2% ต่างจากผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งผู้ประกอบการโทรคมนาคม ที่อยู่ในการกำกับดูแลกสามารถหักค่าใช้จ่ายก่อนแล้วเสียภาษีให้รัฐ
2) การที่รัฐมีส่วนรายรับก่อนหักภาษี จะถือได้ว่า "เป็นกิจการร่วมค้า" ซึ่งรัฐโดยกสทช. มีส่วนร่วมเอี่ยวด้วยใช่ไหม
หลายๆ ครั้งที่เมื่อผู้ประกอบการเรียกร้อง ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งทั้งที่เป็นนักวิชาการและนักเลงคีย์บอร์ด ให้ทัศนะว่า ผู้ประกอบการจะมาเรียกร้องอะไร ในเมื่อเข้ามาสู่การประมูลแล้ว อ่านสัญญาแล้วไม่ใช่หรือ บางสถานีเค้าไม่เห็นเดือดร้อนเลย ประเด็นเหล่านี้ ท่านต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง มาคลุกคลีด้วยตัวเอง และใช้ Rational ในการพิเคราะห์พิจารณาโดยใช้หลัก อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค มากกว่า emotional และการเข้าข้างกระแสของบางกลุ่ม
จะเป็นกรณีไหนก็ตาม กสทช. ไม่ควรจะปฎิเสธทุกความรับผิดชอบ เพราะหาก กสทช. ได้หาทางแก้ไขหรือใช้นโยบายในเชิงสร้างสรรค์ จะส่งผลให้ผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมทั้งระบบเติบโตและเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิตอลได้เร็วและทุกปีจะมีรายได้ให้หน่วยงานแห่งนี้ รวมทั้งเงินเข้ารัฐเป็นจำนวน ไม่น้อย ข้อสำคัญธุรกิจสื่อสารมวลชนมีส่วนสนับสนุนด้านความมั่นคงของชาติด้วย หากสื่อหายไป รัฐจะมีมือไม้ในการประชาสัมพันธ์สื่อสารไปสู่ภาคประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
ฝากหาคำตอบให้กับมวลสมาชิกผู้ประกอบการโทรทัศน์ ผู้ผลิตรายการ รวมทั้งดาราพิธีกรที่ทำงานในสังกัดสถานีโทรทัศน์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องนับหลายพันคน ข้อสำคัญฝากตอบประชาชนทั้งประเทศให้กระจ่างด้วยก็ดีนะครับ