ชนิดโรควิตกกังวลวัยทำงาน เสี่ยงภาวะซึมเศร้า ส่งผลต่อสภาพร่างกาย
รู้หรือไม่ ? คนไทยมากกว่า 1 แสนคนป่วยด้วยโรควิตกกังวล ที่พบได้บ่อยในวัยทำงาน ส่งผลต่อสภาพจิตใจและร่างกาย รีบปรึกษาจิตแพทย์ก่อนเสี่ยงซึมเศร้า
โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่าคนไทยมากกว่าหนึ่งแสนคนป่วยด้วยโรควิตกกังวล ซึ่งอาการของผู้ป่วยไม่ใช่เพียงแค่การคิดมากเกินไปจนส่งผลต่อการดำเนินชีวิต สาเหตุของโรควิตกกังวล สามารถเกิดจากพันธุกรรม และสภาพแวดล้อมการประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรควิตกกังวลได้เช่นกัน
6 โรควิตกกังวลที่พบได้บ่อย
- วิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder)
คือเกิดความกังวลที่มากกว่าปกติในเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้ป่วยยังสามารถระงับความรู้สึกได้ด้วยตัวเอง
“ความเครียดสูง” เสี่ยงพัฒนาซึมเศร้า-วิตกกังวล อันตรายถึงขั้นฆ่าตัวตาย
ภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น อาการเสี่ยงและวิธีรับมือป้องกันการฆ่าตัวตาย

แต่หากผู้ป่วยยังรู้สึกวิตกแบบเดิมนานเกินกว่า 6 เดือน ไม่สามารถปรับตัวให้รับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ อาจทำให้เกิดความอ่อนเพลีย กระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด และนอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สนิท หากมีอาการลักษณะนี้ ควรเข้าไปพบแพทย์เพื่อหาแนวทางรักษาต่อไป
- โรคแพนิค (Panic Disorder)
ความวิตกกังวลโดยไม่มีสาเหตุ ตื่นตระหนก กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือตาย มีอาการเจ็บป่วยนิดหน่อยก็กลับมีความกังวล เช่น กลัวว่าจะเป็นโรคร้าย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ได้ป่วยทางกายแต่ป่วยทางจิตต่างหาก อาการโรควิตกกังวลเกินเหตุ อาจเกิดเป็นพักๆ ทำให้เหงื่อออก ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ร้อนวูบวาบ แน่นหน้าอก วูบเหมือนจะเป็นลม อาการแบบนี้อาจทำให้เสียสุขภาพจิตและอาจนำไปสู่ภาวะอื่นๆ ได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า ติดสารเสพติด เป็นต้น
- โรคกลัวสังคม (Social Phobia)
คือความวิตกกังวลที่จะต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่คิดว่าต้องถูกจ้องมอง ผู้ป่วยมักรู้สึกประหม่า และมักคิดในแง่ลบว่าคนอื่นจะนินทาลับหลัง ทำให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน อาจทำให้เกิดอาการหน้าแดง เหงื่อออก คลื่นไส้ หัวใจเต้นเร็ว ปวดหัว ที่น่าสนใจ คือโรคนี้มักแอบแฝงอยู่ในตัวบุคคลที่ดูเป็นปกติสุขดี มองดูภายนอกร่างกายก็สมบูรณ์แข็งแรงดี และไม่มีทีท่าว่าจะป่วยแต่อย่างใด สาเหตุของอาการนี้อาจเกิดจากการเลี้ยงดู ขาดทักษะการเข้าสังคม หรือเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานของสมอง พันธุกรรม
- โรคกลัวแบบเฉพาะ (Phobia)
ความวิตกกังวลที่มากเกินไปในเรื่องบางเรื่อง บางสิ่งบางอย่างแบบเจาะจง เช่น กลัวเลือด กลัวที่แคบ กลัวรู กลัวสุนัข เป็นต้น แม้ว่าจะรู้สึกกลัวไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถห้ามความกลัวได้ พยายามจะหลีกเลี่ยงไม่เผชิญกับสิ่งที่ตัวเองกลัว ผู้ป่วยมักเกิดปฏิกิริยาทางกายขึ้นมาหากอยู่ในสถานการณ์จำเพาะเจาะจง เช่น ใจสั่น หน้ามืด มือ-เท้าเย็น อาจทำให้ใจสั่น หายใจลำบาก เหงื่อออก
- โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder)
ความวิตกกังวลที่เกิดจากการคิดซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบซ้ำๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลใจ แม้ว่าอาการแบบนี้จะไม่รุนแรง หรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากนัก แต่ทำให้เสียเวลาชีวิตไปกับพฤติกรรมเหล่านั้นไม่น้อย ซึ่งอาการย้ำคิดย้ำทำแบบนี้กลับพบบ่อยในคนวัยทำงาน เช่น คิดว่าลืมล็อคประตูบ้านต้องเดินกลับไปดูว่าล็อคหรือยัง คิดว่าลืมปิดก็อกน้ำต้องกลับไปเช็คอีกครั้ง เป็นต้น
- โรคเครียดหลังเหตุสะเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder, PTSD)
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากประสบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายมาก เช่น เผชิญกับภาวะเฉียดตาย ภาวะภัยพิบัติตามธรรมชาติที่ร้ายแรง ถูกทำร้ายหรือเห็นคนใกล้ตัวตาย เป็นต้น อาการเกิดขึ้นได้หลายอย่าง ตั้งแต่เงียบเฉย ขาดการตอบสนอง ตกใจง่าย หวาดกลัว กังวลในเรื่องเล็กน้อย คิดถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำๆและเกิดความกลัวและวิตกกังวลขึ้นมาใหม่เหมือนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง รวมถึงหวาดกลัวสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
วอกแวกง่าย-ขี้โมโห สัญญาณ โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ เช็กอาการ-วิธีรักษา
อาการที่เกิดจากอารมณ์ แต่ส่งผลไปถึงร่างกายได้
- รู้สึกใจสั่น ใจเต้นแรงและเร็วผิดปกติ ทำให้หัวใจทำงานหนัก ส่งผลทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะทุกส่วนไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียง พอ เกร็งกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง
- ชาปลายมือปลายเท้าหรือใบหน้า เกิดกับคนที่ต้องเจอเรื่องเครียดกะทันหัน
- ปวดศีรษะ อาจเป็นเพราะความดันโลหิตสูงผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก
- อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ทำให้การดูดซึมและการย่อยอาหารไม่ดีเท่าที่ควร
- นอนไม่หลับ หรือหลับๆ ตื่นๆ ซ้ำเติมอวัยวะให้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันการพบจิตแพทย์สามารถทำได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องเขินอาย หรือกลัวการเข้าพบจิตแพทย์ เนื่องจากการเข้าพบไม่ต่างอะไรกับการหาที่ปรึกษา หาเพื่อนช่วยคิด เพียงแต่เพื่อนในที่นี้คือแพทย์ที่มีหลักการรักษา โดยจะพูดคุยให้คำปรึกษาด้วยการรับฟัง แสดงความเห็นใจและให้คำอธิบาย หรือมีกิจกรรมให้ทดลองทำ เป็นการทำจิตบำบัด การบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy หรือ CBT) หันมาดูแล ให้ความสำคัญกับตัวเอง รวมถึงการทำสมาธิรวมถึงบางรายแพทย์อาจทำการรักษาด้วยยา เพื่อลดอาการวิตกกังวล เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสุขภาพจิต และ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยฯ
ป่วยจิตเวชห้ามขาดยาโดยเด็ดขาด ย้ำอาการดีขึ้น ยังไม่ได้แปลว่าหายขาด!
จิตเวช-จิตเภทแตกต่างกันอย่างไร? อาการปัจจัยเสี่ยงที่ควรสังเกตและรักษา