เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน ได้ยื่นเรื่องไปยังรัฐสภา เพื่อขอให้มีการอนุมัติขยายระยะเวลาการประกาศใช้กฎอัยการศึกต่อไปอีก 30 วัน เนื่องจากกำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 24 มีนาคม 2565 โดยหลังการขยายระยะเวลาครั้งนี้ ยูเครนจะบังคับใช้กฎอัยการศึกต่อไปจนถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน ท่ามกลางการสู้รบในประเทศที่ดำเนินต่อเนื่องมาถึงวันที่ 20 แล้ว
รอบกรุงเคียฟถูกโจมตีหนักหน่วง หลังกองทัพรัสเซียล้อมทุกด้าน แต่ยังทะลวงเข้าเมืองไม่ได้
ยูเครนเผย นับตั้งแต่รัสเซียบุก มีเด็กเสียชีวิตแล้ว 90 ราย
โดยภาพถ่ายดาวเทียมของบริษัทแม็กซาร์ บริษัทเอกชนสัญชาติอเมริกัน เผยให้เห็นถึงความเสียหายอย่างหนักในเมืองมาริอูโปล ทางตอนใต้ของยูเครน ซึ่งในเวลานี้หลายฝ่ายเตือนว่า กำลังประสบวิกฤตด้านมนุษยธรรมอย่างหนัก โดยจากภาพถ่ายจะเห็นอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย และมีไฟไหม้ มีควันลอยคลุ้งขึ้นมา นอกจากนี้ยังเผยให้เห็นถึงความเสียหายที่เมืองเออร์พิน และเมืองเล็กๆอีกเมืองใกล้กรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศอีกด้วย
ความเสียหายที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่า รัสเซียกำลังระดมกำลังเข้ายึดเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของนายดมิทรี เปซคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียที่เคยกล่าวไว้ว่า กองกำลังรัสเซียอาจเข้ายึดครองเมืองหลักๆของยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ โดยรัสเซียไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่จะทำเช่นนั้น แต่ก็จะรับรองความปลอดภัยของพลเรือน
นอกจากนี้ โฆษกรัฐบาลรัสเซียยังบอกด้วยว่า ประธานาธิบดีของรัสเซียผิดหวังในการกระทำของสหรัฐและสหภาพยุโรป จากการที่รัสเซียเปิดปฏิบัติการทางกองทัพพิเศษในยูเครน และผู้นำของรัสเซียปูตินเคยขอให้กระทรวงกลาโหมรัสเซียหลีกเลี่ยงการโจมตีเมืองหลักของยูเครน เช่น กรุงเคียฟ เพราะว่าเขาคิดว่า ยูเครนกำลังใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ แต่เขาย้ำว่าตอนนี้ เมืองหลักๆของยูเครนถูกล้อมโดยกองทัพรัสเซียเอาไว้แล้ว
นอกเหนือจากนั้น โฆษกรัฐบาลรัสเซียยังชี้ว่า รัสเซียไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากจีน ก็สามารถดำเนินปฏิบัติการไปได้อยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน มีรายงานแจ้งว่า รัสเซียระดมโจมตีด้วยการทิ้งระเบิดในหลายเมือง อย่างที่เมืองคาร์คิฟ โดยยิงขีปนาวุธเข้าใส่ที่พักอาคารของประชาชน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสองคน หน่วยกู้ภัยได้รุดเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและผู้สูญหาย แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะว่าหลังจากถูกโจมตีท่อส่งก๊าซผ่านในอาคารเกิดได้รับความเสียหาย ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น
“อาคารนี้ตั้งอยู่ในศูนย์กลางย่านประวัติศาสตร์ของเมืองคาร์คิฟ อาคารที่พักอาศัยนี้ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธ จนถึงขณะนี้ เราได้รับข้อมูลว่ามีประชาชน 2 คนเสียชีวิต หนึ่งคนได้รับการช่วยเหลือแล้ว เรากำลังเข้าไปค้นหาในซากปรักหักพังตอนนี้ เราได้รับข้อมูลว่ายังมีคนติดอยู่ใต้ซากพวกนี้” หน่วยกู้ภัย กล่าว
ทั้งนี้ เมืองคาร์คีฟเป็นอีกหนึ่งเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางภาคตะวันออกของยูเครน เพราะอยู่ไม่ไกลจากชายแดนรัสเซีย และเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงทางตอนเหนือเข้ากับตอนใต้ ทางตะวันออกเข้ากับทางตะวันตก และที่นี่ก็ถูกโจมตีอย่างหนักมาโดยตลอด
อนึ่งก่อนหน้านี้ มีรายงานแจ้งว่า รัสเซียโจมตีในเมืองโดเนสก์จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 20 กว่าคน ซึ่งในเวลาต่อมานั้น โฆษกกระทรวงกลาโหมของรัสเซียออกมาปฏิเสธ โดยชี้ว่า รัสเซียโจมตีโรงงานผลิตอาวุธของยูเครน และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโดเนสก์เป็นฝีมือของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน
อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ เราได้แจ้งเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการโจมตีขีปนาวุธ “Tochka-U” ของยูเครน กับคลัสเตอร์ชาร์จ ในพื้นที่เมืองโดเนตสก์ที่เต็มไปด้วยผู้คน เพื่อตอบโต้การกระทำนี้ กองกำลังแห่งสมาพันธรัฐรัสเซียจะใช้มาตรการเพื่อลดประสิทธิภาพของโครงการศูนย์อุตสาหกรรมการทหารของยูเครน ซึ่งผลิต ซ่อมแซมและฟื้นฟูอาวุธที่กลุ่มชาตินิยมใช้เพื่อร่วมก่ออาชญากรรมสงคราม เราแนะนำให้พลเรือนของยูเครนที่ทำงานในโครงการเหล่านั้น และพลเรือนที่อยู่ในอาคารที่พักอาศัยใกล้ๆ ออกจากพื้นที่ที่มีอันตราย”
ขณะเดียวกันอีกหนึ่งเมืองที่น่าเป็นกังวล คือ มาริอูปอล เมืองท่าที่สำคัญทางตอนใต้ของยูเครนที่กองทัพรัสเซียต้องยึดให้ได้เพื่อสร้าง Land bridge ต่อไปยังตะวันออก กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรม ประชาชนกว่า 400,000 คนถูกปิดล้อมและน้ำ อาหาร กำลังขาดแคลน
พนักงานสถานีโทรทัศน์รัสเซีย ประท้วงต่อต้านสงครามกลางรายการสด
มีรายงานพลเรือนเสียชีวิตแล้วกว่า 2,100 คนในเมืองนี้ ประชาชนกว่า 400,000 คน ไม่สามารถออกจากพื้นที่ได้ เพราะถูกกองทัพรัสเซียขัดขวางการอพยพ ต้องขาดแคลนอาหาร น้ำ และไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้นำยูเครนอ้างว่า มีเด็กเสียชีวิตจากการขาดน้ำแล้ว
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของยูเครนที่มาริอูโปลเปิดเผยว่า ในเวลานี้ขบวนรถอพยพจำนวน 160 คันได้เดินทางออกจากเมืองแล้ว
อีกหนึ่งประเทศที่มีประชาชนจากยูเครนอพยพเป็นจำนวนมากก็คือ โปแลนด์ เพราะมีชายแดนติดกับยูเครนและเป็นประเทศสมาชิกของนาโต โดยประชาชนจำนวนมากทยอยนั่งรถหรือเดินเท้าข้ามพรมแดนเข้าไป แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รัสเซียยิงขีปนาวุธโจมตีศูนย์ฝึกทหารของยูเครน ใกล้กับชายแดนโปแลนด์ ห่างไปเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น
หลายคนต้องเดินทางมาไกล อย่างตาวลาดิเมียร์คนนี้ อายุ 76 ปี เขาอาศัยอยู่ในเมืองเออร์พิน ใกล้กับกรุงเคียฟ เล่าให้ฟังว่า เขาและครอบครัวยังถูกทหารรัสเซียจับตัวเอาไว้เป็นตัวประกันนานถึง 7 วันด้วยกัน กระทั่งวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาและครอบครัวจึงหลบหนีออกจากเมืองเออร์พิน และมุ่งหน้าไปยังชายแดนโปแลนด์
สงครามยูเครนฉุดเศรษฐกิจไทยร่วง 0.4-2.4% เงินเฟ้อพุ่งจากน้ำมันแพง
“เราโดนจับเป็นนักโทษ เรานอนอยู่บนพื้นของห้องใต้ดิน พวกเขาไม่อนุญาตให้เราออกไป พวกเขาเก็บเราไว้ราวกับเราเป็นสัตว์ พวกเขาจะปล่อยให้สักสองคนออกไปอุ่นน้ำร้อน และอะไรอีกหรอ การนั่งอยู่ในห้องใต้ดิน ถ้าคุณพยายามจะหนี เราก็จะถูกเขวี้ยงระเบิดมือใส่ นั่นแหละ เมื่อวานนี้เราหนีออกมาได้ เราทิ้งทุกอย่างแล้วเราก็หนีมา” ชาวยูเครน เล่า
นับจนถึงขณะนี้ มีประชาชนมากถึงเกือบ 2.6 ล้านคน ที่อพยพออกจากยูเครนนับตั้งแต่เกิดสงคราม ซึ่งโปแลนด์เป็นประเทศที่รองรับผู้อพยพมากที่สุด เพราะในเวลานี้มีประชาชนจากยูเครนถึง 1.6 ล้านคน ที่หลบหนีภัยสงครามข้ามมายังโปแลนด์