จากกรณีเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 68 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตร “เฉิน จื้อ” หรือ “วินเซนต์” และบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Group) ของเขา จากข้อกล่าวหาเป็นหนึ่งในเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ฉ้อโกงเหยื่อทั่วโลกและแสวงหาประโยชน์จากแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น
ทำให้ในวันที่ 15 ต.ค. 68 รัฐบาลกัมพูชาออกมาบอกว่า หวังว่าสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรจะมีหลักฐานเพียงพอในการดำเนินคดีกับเฉินและบริษัทของเขา
โดยนอกจากการคว่ำบาตร กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ (DOJ) ยังได้ยึดบิตคอยน์ 127,271 เหรียญ มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.89 แสนล้านบาท) ขณะที่ในสหราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ได้อายัดธุรกิจและทรัพย์สินของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านยูโร (ราว 455 ล้านบาท) อาคารสำนักงานมูลค่า 100 ล้านยูโร (ราว 380 ล้านบาท) ในนครลอนดอน และแฟลตหรูหลายแห่ง
ทัช สุขะ โฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา กล่าวว่า ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายทั้งหมดในการดำเนินธุรกิจในกัมพูชา และไม่ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากบริษัทใหญ่อื่น ๆ ที่ลงทุนในประเทศ
เขายังกล่าวอีกว่า สัญชาติกัมพูชาที่มอบให้กับเฉิน ซึ่งเป็นชาวจีนนั้น เป็นไปตามกฎหมาย
ทัช สุขะ กล่าวว่า กัมพูชาจะให้ความร่วมมือหากมีการร้องขออย่างเป็นทางการโดยมีหลักฐานสนับสนุน “เราไม่ได้คุ้มครองบุคคลที่ละเมิดกฎหมาย” แต่ย้ำว่า รัฐบาลกัมพูชาจะไม่กล่าวหาว่าปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป หรือ เฉิน จื้อ กระทำความผิด
“ผมไม่มีอะไรจะพูดมากนักเกี่ยวกับความพยายามของทางการสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในการจับกุมเขา แต่ก่อนอื่น เราแค่หวังว่าจะมีข้อโต้แย้งและหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้” ทัช สุขะ กล่าว
เขาเสริมว่า “สำหรับกัมพูชา เราจะร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในทุกวิถีทาง ตราบเท่าที่มีหลักฐานเพียงพอ”
ปัจจุบันเฉินยังคงหลบหนีลอยนวล โดยหากถูกตัดสินว่ามีความผิดในสหรัฐฯ เขาอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี
เรียบเรียงจาก Associated Press