เมื่ออากาศเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำลังส่งสัญญาณเตือนร่างกายของเรา เพราะ "ขี้ร้อน" ไม่ได้สร้างแค่ผลกระทบทางด้านอารมณ์ แต่ยังบอกได้ว่าร่างกายกำลังป่วย แม้จะแตกต่างจากอาการ "ขี้หนาว" แต่สิ่งที่เหมื่อนกันคือแหล่งกำเนิด เนื่องจากมนุษย์จะมีไฮโปทาลามัส(hypothalamus) ที่รับผิดชอบการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ทำงานควบคู่ไปกับตัวดักจับสัญญาณที่อยู่ตามผิวหนัง ซึ่งจะส่งสัญญาณขึ้นไปยังไฮโปทาลามัสเพื่อจะรักษาอุณหภูมิ แต่เมื่อไฮโปทาลามัสเกิดความบกพร่องก็นำมาซึ่งอาการ "ขี้ร้อน" ได้
อาการ "ขี้ร้อน" เหงื่อมักจะไหลออกมาเร็วเพื่อทำให้ผิวหนังเย็นขึ้น จากการระเหยหลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังจะขยายตัวขึ้นเร็ว สังเกตได้ว่าตัวจะเริ่มเเดงขึ้น เนื่องจากเลือดที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งเพื่อให้ร่างกายได้ระบายความร้อนออกไป
คนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนที่ขี้ร้อน ได้แก่
1.) คนในวัยหนุ่ม-สาว
2.) คนที่ชอบทำกิจกรรมที่ใช้กำลัง
3.) คนที่มีค่า BMI สูง
จุดเริ่มต้นของ “เหงื่อ”
ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นกระบวนการต่างๆ ซึ่งกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม (Metabolism) ก็เป็นอีกกระบวนการทำงานที่สำคัญของร่างกาย ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงอาหารที่เราทานเข้าไปให้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายเกิดความร้อน ซึ่งเมื่อร่างกายเกิดความร้อน ร่างกายก็จะมีกลไกในการควบคุมหรือระบายความร้อน นั้นออกมาในรูปแบบของ “เหงื่อ” เพื่อให้ความร้อนในร่างกายอยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือเรียกว่า “การหลั่งเหงื่อ คือการถ่ายเทความร้อนที่เกิดจากกระบวนการต่างๆ ในร่างกายออกไป”
สาเหตุของ “ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ”
ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperthydrosis) คือภาวะที่ร่างกายขับเหงื่อออกมาเป็นจำนวนมาก แม้ในสภาพอากาศปกติ ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะอาการออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน (primary hyperhydrosis) และกลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย (Secondary Hyperhydrosis)
1.) กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน (Primary Hyperhydrosis) กลุ่มนี้จะมีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ ที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และไม่ได้มีสาเหตุมาจากภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ ซึ่งเกิดได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย คนไข้ในกลุ่มนี้ จะมีเหงื่อออกในบริเวณบางส่วนของร่างกาย เช่น ใบหน้า ศีรษะ รักแร้ ฝ่ามือ ซึ่งในกลุ่มที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติบริเวณฝ่ามือ อาจเรียกว่า ภาวะเหงื่อมือ หรือ เหงื่อออกมือ เป็นต้น มักพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่อายุยังน้อย ในกลุ่มวัยรุ่น ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 30-40 ของคนที่มีภาวะนี้ พบว่ามีญาติสายตรง หรือพ่อแม่ที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติเช่นกัน ผู้ป่วยบางรายมีเหงื่อออกมากที่มือจนเขียนหนังสือหรือจับสิ่งของไม่ได้ ซึ่งภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาทั้งในแง่การทำงาน การเข้าสังคมและการดำรงชีวิตประจำวัน
2.) กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย (Secondary Hyperhydrosis)
คนไข้ในกลุ่มนี้ จะมีเหงื่อในปริมาณมาก ออกทั่วร่างกาย แม้กระทั่งในเวลานอน ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของโรคอื่น ๆ เช่น
- โรคไทรอยด์เป็นพิษ ทำให้ร่างการมีการเผาผลาญสูง
- โรควัณโรคปอด
- โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีภาวะอ้วนมาก ๆ
- หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน
- การรับประทานยาบางชนิด เป็นต้น
นอกจากนี้อาการ "ขี้ร้อน" จนร่างกายต้องขับเหงื่อออกมาเป็นจำนวนมากยังสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้
ความเครียด
เมื่อคุณเครียด หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น เลือดจะไหลเวียนเร็วขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบสนองแบบ fight or flight response ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นตาม ทำให้คุณรู้สึกร้อนกว่าปกติ
ความเหงา
สภาวะทางอารมณ์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบการทำงานของสมองต่างไปจากเดิม จากการศึกษาพบว่า ถ้าคุณรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง รู้สึกเหงาๆ เศร้าๆ คุณจะรู้สึกหนาวขึ้นกว่าปกติ แต่คุณจะรู้สึกอุ่นขึ้นมามากขึ้น เวลาที่คุณอยู่กับเพื่อนฝูงหรืออยู่กับคนที่คุณอยากอยู่ใกล้ๆ
เพศ
จากการศึกษาพบว่าเพศหญิงจะรู้สึกอ่อนไหวต่อบรรยากาศมากกว่าผู้ชาย หนึ่งในเหตุผลที่ผู้หญิงอ่อนไหวต่อสภาพอากาศโดยรอบได้อย่างรวดเร็ว คือ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะตัวเล็กกว่าผู้ชาย ผิวหนังจะเป็นตัวรับข้อมูลมาเเล้วประมวลผลได้เร็วกว่าผู้ชายที่มีตัวรับสัญญาณทางผิวหนังที่เยอะกว่า
อาการป่วย
ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองหนาวง่าย หรือรู้สึกร้อนเร็วมากกว่าคนทั่วไป ให้ตั้งข้อสังเกตเลยว่าคุณอาจจะมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โลหิตจาง , มีภาวะขาดสารอาหาร , มีภาวะการติดเชื้อ , ปัญหาการควบคุมน้ำหนัก , ภาวะขาดไทรอยด์ ( hypothyroidism ) ,โรคเบาหวาน เป็นต้น
1.) ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ผสมสารลดเหงื่อจำพวกอะลูมิเนียมคลอไรด์ทั้งในระหว่างวันและก่อนนอน เพื่อช่วยปิดต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ มือ เท้า
2.) อาบน้ำทำความสะอาดเป็นประจำ วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น การอาบน้ำเย็น เป็นการนำความเย็นเข้าสัมผัสร่างกายโดยตรง ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
3.) หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มร้อนอย่างชาและกาแฟ รวมทั้งแอลกอฮอล์และอาหารรสเผ็ด เพราะอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งของเหงื่อ
4.) แตงโมผลไม้ยอดฮิต แตงโมเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาความเย็นในร่างกาย ถ้าแช่เย็นได้ยิ่งดีเพราะจะทำ ให้รู้สึกสดชื่น การพัดหรือเป่า
5.) พัดลม เป็นการเป่าเหงื่อบนผิวหนังให้ระเหยออกไปเร็วขึ้น ทำให้รู้สึกเย็นสบาย ดังนั้นจึงควรคู่ไปกับการการดื่มน้ำ เย็น ๆ เพื่อทดแทนน้ำ ที่สูญเสียไปจากเหงื่อ
นอกจากนี้การดื่มน้ำ เย็นยังช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น แต่สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้งท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดหรืออ่อนเพลียจากอาการลมแดด ไม่ควรดื่มน้ำ เย็นจัดในทันทีเพราะจะทำให้เกิดอาการตะคริวท้องซึ่งเป็นอันตรายมาก
ที่มา : โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลรามา